Print Sermon

เป้าหมายของเว็ปไซต์นี้คือจัดเตรียมบทเทศนาที่เขียนจากต้นฉบับ และในรูปแบบวีดีโอให้กับผู้รับใช้ และมิชชั่นนารีที่ไปรับใช้ในต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศในโลกที่สามที่ขาดแคลนพระคริสตธรรมหรือโรงเรียนอบรมพระคัมภีร์

ต้นฉบับของบทเทศนาเหล่านี้ถูกอ่านในคอมพิวเตอร์ประมาณ 1,500,000 เครื่อง และมากกว่า 221 ประเทศในแต่ละปี โปรดไปอ่านได้ที www.sermonsfortheworld.com ในขณะเดียวกันมีหลายร้อยคนดูวิดีโอบน YouTube และหลังจากนั้นคนเหล่านั้นก็จะย้ายจากดู YouTube มาอ่านเว็บไซต์ของเรา YouTube นำคนมาที่เว็บไซต์ของเรา บทเทศนาต้นฉบับนี้ถูกแปลออกเป็น 46 ภาษา และมีคนอ่านในคอมพิวเตอร์มากถึง 120,000 ทุก ๆ เดือน บทเทศนาต้นฉบับนี้ไม่สงวนลิขสิทธิ์ อนุญาตให้นักเทศนาสามารถนำไปใช้เทศน์ได้ นอกจากนี้ยังมีในรูปแบบวีดีโอเป็นร้อย ๆ ซึ่งเทศน์โดย ดร. ไฮเมอร์ส และนักศึกษาของท่าน บทเทศนาต้นฉบับไม่สงวน แต่จะสงวนเฉพาะในรูปแบบวีดีโอ กรุณาคลิกที่นี่เพื่อเรียนรู้ว่าจะสนับสนุนการประกาศพระกิตติคุณไปทั่วโลกได้อย่างไร

ตอนที่คุณเขียนหนังสือไปให้ ดร. ไฮเมอร์ส บอกท่านเสมอว่าคุณเขียนมาจากประเทศอะไร หรือท่านไม่ได้ตอบคุณ อีเมล์ของ ดร. ไฮเมอร์ส คือ rlhymersjr@sbcglobal.net




สามอย่างที่พิสูจน์ถึงการเป็นขึ้นมาของพระเยซูคริสต์

THREE PROOFS OF CHRIST’S RESURRECTION
(Thai)

เทศนาโดน ดร. อาร์ เอล ไฮเมอร์ส จูเนียร์
by Dr. R. L. Hymers, Jr.

บทเทศนาที่คริสตจักรแบ๊บติสต์เทเบอร์นาเคลเมืองลอสแอนเจลิส
วันของพระเป็นเจ้าภาคกลางคืน 1 เมษายน 2018
A sermon preached at the Baptist Tabernacle of Los Angeles
Lord’s Day Evening, April 1, 2018

“ด้วยว่าท่านกษัตริย์ทรงทราบข้อความเหล่านี้ดีแล้ว ข้าพระองค์จึงกล้ากล่าวต่อพระพักตร์ของพระองค์ เพราะข้าพระองค์เชื่อแน่ว่า ไม่มีสักอย่างหนึ่งในบรรดาเหตุการณ์เหล่านั้นที่ได้พ้นพระเนตรของพระองค์ เพราะการเหล่านั้นมิได้กระทำกันในที่ลับลี้” (กิจการ 26:26)


ในกิจการบทที่ 26 ลูกาได้บันทึกคำพยานการกลับใจใหม่ของเปาโลเป็นครั้งที่สาม เหตุผลที่ลูกากล่าวเป็นครั้งที่สาม นั้นเพื่อเป็นเรื่องง่ายที่จะเข้าใจ นอกเหนือจากการสิ้นพระชนม์และการฟื้นคืนพระชนม์ของพระคริสต์แล้วจะไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ของศาสนาคริสต์ซึ่งมีความสำคัญมากกว่าการกลับใจใหม่ของอัครทูตเปาโล

เปาโลถูกจับกุมเพราะว่าท่านเทศนา

“…และด้วยเรื่องคนหนึ่งที่ชื่อเยซูซึ่งตายแล้ว แต่เปาโลยืนยันว่ายังเป็นอยู่” (กิจการ 25:19)

ตอนนี้เปาโลถูกซ่ตรวนและอยู่ต่อหน้ากษัตริย์อากริปปา อากริป้าเป็นชาวยิว ดังนั้นเปาโลกำลังปกป้องตัวเองจากการเทศนาตามที่ที่ได้ทรงทำนายไว้ในพระคัมภีร์เดิม เกี่ยวกับการฟื้นคืนพระชนม์ของพระคริสต์ เปาโลยังปกป้องตัวเองด้วยการบอกว่ากษัตริย์อากริปปาทรงรู้เรื่องการตรึงกางเขนและการฟื้นคืนพระชนม์ของพระคริสต์เป็นอย่างดี การตรึงกางเขนและการฟื้นคืนพระชนม์ได้เกิดขึ้นเกือบสามสิบปีก่อน ชาวยิวทุกคนรู้เรื่องนี้ รวมถึงกษัตริย์อากริปปาด้วย เปาโลจึงกล่าวว่า "

“…กษัตริย์ทรงทราบข้อความเหล่านี้ดีแล้ว ข้าพระองค์จึงกล้ากล่าวต่อพระพักตร์ของพระองค์ เพราะข้าพระองค์เชื่อแน่ว่า ไม่มีสักอย่างหนึ่งในบรรดาเหตุการณ์เหล่านั้นที่ได้พ้นพระเนตรของพระองค์ เพราะการเหล่านั้นมิได้กระทำกันในที่ลับลี้” (กิจการ 26: 26)

“เพราะการเหล่านั้นมิได้กระทำกันในที่ลับลี้” เพราะการเหล่านั้นมิได้กระทำกันในที่ลับลี้” และนี่เป็นภาษาปกติที่ใช้กันในสมัยนั้น หนังสืออรรถธิบายพระคัมภีร์ของ ดร. แกบีเลียน กล่าวว่า

พันธกิจของพระเยซูคริสต์เป็นที่เลื่อนลือไปทั่วปาเลสไตน์ ดังนั้นอากริปปาทรงทราบเรื่องนี้เป็นอย่างดี การสิ้นพระชนม์และการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซุนั้นถูกประกาศมาสามทศวรรค กษัตริย์ทรงทราบเรื่องนี้เป็นอย่างดี “เพราะการเหล่านั้นมิได้กระทำกันในที่ลับลี้” (The Expositor’s Bible Commentary, Frank E. Gaebelein, D.D., General Editor, Zondervan Publishing House, 1981, volume 9, p. 554; note on Acts 26:25-27)

หลายคนในทุกวันนี้คิดว่าการฟื้นคืนพระชนม์ของพระคริสต์เป็นเหตุการณ์ที่ถูกปิดบังไว้จากคนอื่นๆ ทีรรูก็มีเพียงชาวประมงเท่านั้นที่รู้ แต่ไม่มีอะไรไกลเกินไปจากความจริง! การฟื้นคืนพระชนม์ของพระคริสต์เป็นที่รู้จักโดยชาวยิวทุกคนในอิสราเอลและได้รับการกล่าวถึงทั่วอาณาจักรโรมันมาเกือบสามสิบปี! การฟื้นคืนพระชนม์ของพระคริสต์ไม่ได้ถูกเก็บเป็นความลับ!

เพราะการเหล่านั้นมิได้กระทำกันในที่ลับลี้” (กิจการ 26:26)

ดร. เสนสกี้ กสล่าวว่า

ทุกอย่างที่กล่าวกันเกี่ยวกับพระเยซูถูกกล่าวทั่วไปในเมือง และศาบเซนเฮดริน [ผู้ว่าแห่งโรมัน] ปีลาตก็มีส่วนเกี่ยวข้อง และพระเยซูก้เป็นที่รูจักกันทั่วบ้านทั่วเมือง เพราะชื่อเสียงของพระองค์เลื่อนลือไปทั่วราชอาณาจักร "เพราะการเหล่านั้นมิได้กระทำกันในที่ลับลี้” ... ไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ ที่ไม่มีใครทราบ แต่เป็นเรื่องที่ใหญ่และมีความสำคัญอย่างยิ่งที่จะเปิดเผยต่อสาธารณชนและกว้างขวางว่า [กษัตริย์] อากริป้ามีหน้าที่ต้องให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ (R. C. H. Lenski, D.D., The Interpretation of the Acts of the Apostles, Augsburg Publishing House, 1961 edition, p. 1053; note on Acts 26:26)

“เพราะการเหล่านั้นมิได้กระทำกันในที่ลับลี้” (กิจการ 26:26)

พวกที่ต่อต้านพระคริสต์มีมานานสามทศวรรษ พวกเขาพยายามพิสูจน์ว่าพระองค์ไม่ได้เป็นขึ้นมาจากความตาย แต่ทุกอย่างที่พวกเขาทำล้มเหลว พวกเขาไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าพระเยซูทรงสิ้นพระชนม์หลังจากที่พระองค์ถูกตรึงบนกางเขน ตอนที่เปาโลพูดกับกษัตริย์อากริป้าชาวยิวนับหมื่นนับพันคนต่างประกาศว่า "พระคริสต์ทรงเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว"

การฟื้นคืนพระชนม์ของพระคริสต์เป็นรากฐานของศาสนาคริสต์ ถ้าพระวรกายของพระเยซูไม่ได้เป็นขึ้นมาจากความตายความเชื่อของคริสเตียนก็ไร้ค่า อัครทูตเปาโลกล่าวว่า "

“ถ้าพระคริสต์มิได้ทรงเป็นขึ้นมา การเทศนาของเรานั้นก็เปล่าประโยชน์ ทั้งความเชื่อของท่านทั้งหลายก็เปล่าประโยชน์ [ไร้ค่า] ด้วย” (1 โครินธ์ 15:14)

ไม่น่าแปลกใจที่พวกต่อต้านพระคริสต์ได้พยายามอย่างหนักเพื่อที่จะพิสูจน์ ถึงการคืนพระชนม์ของพระองค์ แต่ทั้งหมดที่พวกเขาทำล้มเหลว แม้ว่าผมไม่เห็นด้วยกับ เกรง โลรีย์ ในหลายอย่าง แต่ผมเห็นด้วยกับเขาเกี่ยวกับการคืนพระชนม์ของพระคริสต์ เพราะเกรง โลรีย์ ให้เหตุผลสามข้อว่าทำไมศัตรูของพระเยซูคริสต์ล้มเหลว - หลักฐานสามประการที่กล่าวถึงการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ (Greg Laurie, Why the Resurrection? Tyndale House Publishers, 2004, pp. 13-24) ผมจะนำสามประการนี้มากล่าวใหม่ดังนี้

“เพราะการเหล่านั้นมิได้กระทำกันในที่ลับลี้” (กิจการ 26:26)

I. ประการแรก อุโมงค์ว่างเปล่า

หลักฐานแรกที่พิสูจน์ถึงการคืนพระชนม์ของพระเยซูคืออุโมงค์ว่างเปล่า ความจริงนี้คือว่าอุโมงค์ ว่างเปล่าหลังจากที่พระองค์สิ้นพระชนม์ นี่จึงเป็นหลักฐานอันยิ่งใหญ่ประการหนึ่งของการฟื้นคืนพระชนม์ของพระองค์ ผู้เขียนพะรกิตติคุณทั้งสี่คนต่างก็เห้นพ้องกันว่า อุโมงค์ของพระคริสต์ว่างเปล่า นั่งแสดงว่าพระองค์สิ้นพระชนม์และเป็นคืนมาในวันที่สาม ยังพยานหลายคนยังยืนยันความจริงของอุโมงค์ว่างเปล่า

การโจมตีที่เก่าแก่ที่สุดต่อการฟื้นคืนพระชนม์ของพระคริสต์คือการกล่าวว่า พระวรกายของพระคริสต์ถูกขโมย พวกผู้นำปุโรหิตใหญ่

“…ก็แจกเงินเป็นอันมากให้แก่พวกทหาร สั่งว่า พวกเจ้าจงพูดว่า พวกสาวกของเขามาลักเอาศพไปในเวลากลางคืนเมื่อเรานอนหลับอยู่ ถ้าความนี้ทราบถึงหูเจ้าเมือง เราจะพูดแก้ไขให้พวกเจ้าพ้นโทษ พวกทหารจึงยอมรับเงิน และทำตามที่ถูกสอนมา และความนี้ก็เลื่องลือไปในบรรดาพวกยิวจนทุกวันนี้” (มัทธิว 28:12-15)

แต่ข้อโต้แย้งนี้ไม่ได้ชักจูงคนมากมายให้เขื่อตามแต่อย่างใด จิตสามัญสำนึกจะบอกคุณว่า พวกสาวกไม่ได้ขโมยพระศพของพระองค์และแสร้งทำเป็นว่าพระองค์ทรงฟื้นคืนพระชนม์ เพราะสามวันก่อนหน้านั้นตอนพระเยซูคริสต์ถูกจับและจะถูกตรึงบนไม้กางเขนพวกสาวกได้หนีเอาตัวรอดไปหมด ไม่น่าจะเป็นไปได้ว่าผู้ชายที่ขี้ขลาดเหล่านี้จะมีความกล้าพอที่จะขโมยร่างของพระเยซู - และหลังจากนั้นก็เริ่มเทศนาอย่างกล้าหาญว่าพระองค์ทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย– มีความเสี่ยงต่อชีวิตของพวกเขา! ไม่ใช่เป็นการโต้แย้งใดๆ! ข้อเท็จจริงก็ไม่ตรงกัน ความจริงก็คือพวกสาวกปิดประตูซ่อนตัวอยู่ในห้อง "เพราะกลัวชาวยิว" (ยอห์น 20:19) พวกเขาตกใจ พวกเขาไม่เชื่อว่าพระองค์จะทรงฟื้นคืนพระชนม์อีกครั้ง ไม่มีสาวกของพระคริสต์คนไหนเชื่อและกล้าพอที่จะท้าทายรัฐบาลโรมันและขโมยร่างของพระเยซู นั่นคือความจริงทางจิตวิทยาที่ไม่สามารถมองข้ามได้

หากจะเป็นตามนั้นจริงผู้ต้องสงสัยคนอื่น ๆ ที่จะขโมยร่างของพระคริสต์ก็คือพวกที่ตั้งตัวเป็นศัตรูของพระองค์ แต่ปัญหาของทฤษฎีนี้คือ ศัตรูของพระคริสต์ก็ไม่มีเหตุจูงใจอะไรที่จะมาขโมยพระศพของพระองค์เช่นเดียวกัน หัวหน้าปุโรหิตและผู้นำทางศาสนาอื่น ๆ ทำให้พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์เพราะพระองค์ทรงเทศนาต่อต้านศาสนาและวิถีชีวิตของพวกเขา สิ่งสุดท้ายที่คนเหล่านี้ต้องการคือการให้ผู้คนคิดว่าพระคริสต์ยังจะมีชีวิตอยู่อีกหรือไม่! นั่นคือเหตุผลที่ผู้นำศาสนาเหล่านี้ได้พยายามที่จะฆ่าพระองค์ และดูว่าพระองค์จะฟื้นคืนพระชนม์จริงหรือไม่ พระกิตติคุณมัทธิวบอกเราว่า พวกเขาไปหาผู้ว่าราชการโรมปอนติอุสปิลาตุส

“เรียนว่า เจ้าคุณขอรับ ข้าพเจ้าทั้งหลายจำได้ว่า คนล่อลวงผู้นั้น เมื่อเขายังมีชีวิตอยู่ได้พูดว่า ล่วงไปสามวันแล้วเราจะเป็นขึ้นมาใหม่ เหตุฉะนั้น ขอได้มีบัญชาสั่งเฝ้าอุโมงค์ให้แข็งแรงจนถึงวันที่สาม เกลือกว่าสาวกของเขาจะมาในตอนกลางคืน และลักเอาศพไป แล้วจะประกาศแก่ประชาชนว่า เขาเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว และการหลอกลวงครั้งนี้จะร้ายแรงยิ่งกว่าครั้งก่อนอีก” (มัทธิว 27:63-64)

ปีลาตบอกให้พวกเขาจับยามไปเฝ้าอุโมงค์ "อย่างที่ทำได้" - ยามไปเฝ้าอุโมงค์รักษาความปลอดภัยให้ดีที่สุด (มัทธิว 27:65) ดังนั้นพวกเขาจึงปิดผนึกอุโมงค์ฝังศพและให้ทหารรักษาปกป้องกันการขโมย (มัทธิว 27:66) จึงไม่น่าแปลกใจว่าพวกผู้นำต่างๆเหล่านี้ ต่างเชื่อว่าพระเยซูจะทรงคืนพระชนม์มากกว่าพวกสาวกของพระองค์เสียอีก!

ความจริงก็คือผู้นำศาสนาได้ใช้มาตรการที่รุนแรงเพื่อไม่ให้ร่างกายของพระคริสต์ถูกขโมย พวกเขาต้องการพิสูจน์ว่าคำสัญญาของพระเยซูคริสต์เกี่ยวกับการฟื้นขึ้นมาจากความตายนั้นเป็นการโกหก ผู้นำศาสนาเหล่านั้น ต่างทำทุกวิถีทางเพื่อขจัดความเชื่อเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ได้ทรงฟื้นคืนชีพจากความตาย พราะการขโมยร่างกายเป็นโอกาสสุดท้ายที่ศัตรูของพระองค์จะสามารถทำได้ แต่ถ้าพวกเขาขโมยร่างกายของพระคริสต์จริง พวกเขาต้องนำพระศพนี้มาพิสูจน์ตอนที่พวกสาวกเทศนาถึงการฟื้นพระชนม์ของพระองค์ แต่ศัตรูของพระคริสต์ก็ไม่เคยทำอย่างนั้น ทำไม? เพียงเพราะพวกเขาไม่มีรพระศพของพระคริสต์จริง! อุโมงค์ว่างเปล่า! พระคริสต์ทรงฟื้นคืนพระชนม์แล้ว!

“เพราะการเหล่านั้นมิได้กระทำกันในที่ลับลี้” (กิจการ 26:26)

อุโมงค์ว่างเปล่าก็คือหลักฐานแสดงให้เห็นว่าพระคริสต์ทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย แต่ยังมีอีก!

II. ประการที่สอง บุคคลที่เห็นด้วยตา

ตอนพระเยซูถูกตรึงกางเขน พวกสาวกของพระองค์ก็สิ้นหวัง ความเชื่อของพวกเขาถูกทำลาย พวกเขาไม่เคยหวังว่าจะได้เห็นพระองค์อีกต่อไป แล้วพระเยซูก็เสด็จมา

“พระเยซูได้เสด็จเข้ามาประทับยืนอยู่ท่ามกลางเขา และตรัสกับเขาว่า “สันติสุขจงดำรงอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด” (ยอห์น 20:19)

พวกสาวกเห็นพระองคืทรงเป็นขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง

“ได้ทรงแสดงพระองค์แก่คนพวกนั้น ด้วยหลักฐานหลายอย่าง พิสูจน์อย่างแน่นอนที่สุดว่าพระองค์ทรงพระชนม์อยู่ และได้ทรงปรากฏแก่เขาทั้งหลายถึงสี่สิบวัน” (กิจการ 1:3)

อัครสาวกเปาโลกล่าวถึงเปาโลว่า

“พระองค์ทรงปรากฏแก่เคฟาส [เปโตร] แล้วแก่อัครสาวกสิบสองคน ภายหลังพระองค์ทรงปรากฏแก่พวกพี่น้องกว่าห้าร้อยคนในคราวเดียว ซึ่งส่วนมากยังอยู่จนถึงทุกวันนี้ แต่บางคนก็ล่วงหลับไปแล้ว ภายหลังพระองค์ทรงปรากฏแก่ยากอบ แล้วแก่อัครสาวกทั้งหมดครั้นหลังที่สุดพระองค์ทรงปรากฏแก่ข้าพเจ้าด้วย ผู้เป็นเสมือนเด็กที่คลอดก่อนกำหนด” (1 โครินธ์ 15:5-8)

ดร. จอห์น อาร์ไรซ์ กล่าวว่า

พิจารณาว่าคำพยานของคนนับร้อยที่ได้เห็นพระเยซูหลังจากการฟื้นคืนพระชนม์ของพระองค์เป็นอย่างไร ยังมีอีกมากมายที่เห็นตลอดสี่สิบวัน! [กิจการ 1: 3] กฎของพระคัมภีร์คือ "พยานปากสองหรือสามคน" แต่นี่กลับมีพยานหลายร้อยคน หลายคนถูกลงโทษประหารชีวิตเพราะการเป็นพยาน มีแค่สิบสองเสียงเท่านั้นที่จะต้องเห็นด้วยกับคณะลูกขุนเพื่อตัดสินคดีที่สำคัญ แต่ที่นี่พยานหลายร้อยพยานเห็นพ้องกันว่าพระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย ไม่มีใครสักคนที่ออกมาเป็นพยานว่าเขาเห็นหรือมีพระศพของพระองค์
     คำพยานของพยานเหล่านั้นคือพยานผู้เห็นเหตุการณ์ และมีโอกาสสัมผัสแผลที่มือ แลเท้าของพระผู้ช่วยให้รอด และพระองค์ทรงร่วมรับประทานกับพวกถึงสี่สิบวัน ศาลฎีกาแห่งสหรัฐอเมริกาหรือศาลอื่น ๆ ในโลก ... หลักฐานที่เชื่อไม่ได้ และให้คนที่ไม่อยากเชื่อเท่านั้นที่จะปฏิเสธมัน ไอย่าได้สงสัยเลยว่าพระคัมภีร์บอกว่าพระเยซู "พิสูจน์อย่างแน่นอนที่สุดว่าพระองค์ทรงพระชนม์อยู่ และได้ทรงปรากฏแก่เขาทั้งหลายถึงสี่สิบวัน และได้ทรงกล่าวถึงเรื่องอาณาจักรของพระเจ้า" กิจการ 1: 3 (John R. Rice, D.D., The Resurrection of Jesus Christ, Sword of the Lord Publishers, 1953, pp. 49-50)

“เพราะการเหล่านั้นมิได้กระทำกันในที่ลับลี้” (กิจการ 26:26)

อุโมงค์ว่างเปล่าและพยานหลายร้อยคนเป็นหลักฐานที่ชัดเจนว่าพระเยซูคริสต์ได้ทรงฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาจากความตาย แต่มีมากขึ้น

III. ประการที่สาม การสละชีพของพวกสาวก

ทำไมการพวกอัครสาวกทุกคนต้องยอมทนทุกข์ทรมานเพื่อที่จะประกาศถึงเรื่องนี้? อัครสาวกไม่เพียงแต่ประกาศสั่งสอนการฟื้นคืนพระชนม์ของพระคริสต์อย่างต่อเนื่องเท่านั้น พวกเขายอมตายแทนที่จะปฏิเสธ! เมื่อเราอ่านประวัติของคริสตจักร เราพบว่าอัครสาวกทุกคน (ยกเว้นยอห์น - ผู้ที่ถูกทรมานและถูกเนรเทศ) เสียชีวิตอันน่าสยดสยองเพราะพวกเขาได้ประกาศว่าพระคริสต์ได้ฟื้นขึ้นมาจากความตาย ดร. ดี. เจมส์เคนเนดี กล่าวว่า

     นี่เป็นความจริงที่สำคัญอย่างยิ่ง ตามประวัติศาสตร์และถ้ามองในแง่จิตวิทยา เห็นว่าไม่เคยมีใครคนไหนที่จะยอมพลีชีพให้กับสิ่งที่ตัวเองก็ทราบดีว่านั่นเป็นเรื่องโกโหก ผมเคยสงสัยว่าทำไมพระเจ้าอนุญาตให้บรรดาอัครสาวกและคริสเตียนยุคแรก ๆ ผ่านความทุกข์ยากทรมานอย่างที่ไม่น่าเชื่อ ... พยานเหล่านี้ส่วนใหญ่มีความ ซื่อสัตย์ ลักษณะนิสัยที่ดี ยอมผ่านความทุกข์ทรมานและความตาย พวกเขาปิดผนึกความเชื่อของพวกเขาด้วยเลือดของพวกเขาเอง ... พอล ลิเทล กล่าวว่า "คนจะยอมตายกับสิ่งที่พวกเขาเชื่อว่านั่นเป็นจริง ... พวกเขาไม่ได้ยอมตายกับสิ่งที่พวกเขารู้ว่ามันเป็นเรื่องโกหก" (D. James Kennedy, Ph.D., Why I Believe, Thomas Nelson Publishers, 2005 edition, p. 47)

ผู้คนเหล่านี้ยอมตาย เพราะว่าพวกเขาประกาศถึงการสิ้นพระชนม์ และการเป็นขึ้นมาจากความตายของพระองค์:

เปโตร – ถูกทรมาณอย่างรุนแรงและถูกตรึงบนไม้กางเขนคว่ำลง
  แอนดรู - ถูกตรึงบนไม้กางเขนในรูปตัว X
    ยากอบ บุตรชายเศเบดี - ถูกตัดศีรษะ
      ยอห์น - ถูกใส่ลงในหม้อน้ำมันเดือดและจากนั้น
        เนรเทศไปที่เกาะปาทมอส
           ฟิลิป - ถูกเฆี่ยนและถูกตรึงบนกางเขน
            บาร์โธโลมิว - ถูกถลอด [หนัง] ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่และถูกตรึงบนไม้กางเขน
              แมทธิว - ถูกตัดหัว
                ยากอบ พี่ชายของพะเยซู – ถูกโยนจากด้านบนของวิหารลงมาตาย
                  ทาดดาอุส - ถูกยิงตายด้วยลูกธนู
                    มาระโก - ถูกลากจนตาย
                      พอล - ถูกตัดศีรษะ
                        ลูกา - ถูกแขวนคอบนต้นมะกอก
                          โทมัส - วิ่งผ่านหอกและโยนลงในเตาอบ
(The New Foxe’s Book of Martyrs, Bridge-Logos Publishers,
   1997, pp. 5-10; Greg Laurie, Why the Resurrection?
   Tyndale House Publishers, 2004, pp. 19-20)

คนเหล่านี้ได้ผ่านความทุกข์ยากและเสียชีวิตอย่างน่าสยดสยองเนื่องจากพวกเขาเป็นพยานถึงการสิ้นของพระเยซูคริสต์ และการทรงฟื้นขึ้นมาจากความตาย คนเหล่านี้ไม่ได้ตายสำหรับสิ่งที่พวกเขาไม่ได้เห็น! คนเหล่านี้เห็นพระคริสต์หลังจากที่พระองค์ทรงเป็นขึ้นมาจากหความตาย นั่นคือเหตุผลที่ยอมทรมานและตายโดยที่ไม่ยอมหยุดที่จะประกาศว่า "พระคริสต์ทรงฟื้นคืนพระชนม์แล้ว!"

เปโตรมองดูพระองค์ที่ริมฝั่งทะเล
รับประทานร่วมกับพระองค์ที่ริมทะเล
พระเยซูพระผู้ทรงพระชนม์และเป็นขึ้นมาตรัสว่า
"เปโตรเจ้ารักเราหรือ"
พระองค์สิ้นพระชนม์กลับมามีชีวิตอีกครั้ง!
พระองค์สิ้นพระชนม์กลับมามีชีวิตอีกครั้ง!
ทำลายสิ่งที่ยาก และยอมที่จะตาย-
พระองค์สิ้นพระชนม์กลับมามีชีวิตอีกครั้ง!
   (“Alive Again” by Paul Rader, 1878-1938)

คนเหล่านี้ได้เปลี่ยนจากคนขี้ขลาดที่ไม่เชื่อไปสู่ผู้เสียสละและกล้าหาญเพราะพวกเขาได้เห็นพระคริสต์หลังจากที่พระองค์ทรงเป็นขึ้นจากความตาย!

โทมัสเห็นพระองค์อยู่ในห้องที่นั่น
เรียกพระองค์ว่าพระเจ้าของพระองค์
ใส่นิ้วมือเข้าไปในรูแผล
ที่ถูกตอกด้วยตะปูและดาบ
พระองค์สิ้นพระชนม์กลับมามีชีวิตอีกครั้ง!
พระองค์สิ้นพระชนม์กลับมามีชีวิตอีกครั้ง!
ทำลายสิ่งที่ยาก และยอมที่จะตาย-
พระองค์สิ้นพระชนม์กลับมามีชีวิตอีกครั้ง!
   (Paul Rader, ibid.)

ผมอยากให้คริสตจักรของเราเรียนรู้ที่จะร้องเพลงนมัสการที่เขียนโดย พอล แรเดอร์! ถ้าคุณอยากจะได้ดนตรีของบทเพลงนี้ให้เขียนจดหมายส่งถึงผม Dr. R. L. Hymers, Jr., P.O. Box 15308, Los Angeles, CA 90015 – และบอกว่าต้องการดนตรีของเพลงของ พอล แรเดอร์ ที่ชื่อว่า “Alive Again”

เราสามารถรวบรวมหลักฐานเพิ่มเติมเกี่ยวกับการฟื้นคืนพระชนม์ของพระคริสต์ได้ แต่ก็ไม่อาจโน้มน้าวใจของคุณ เพราะอะไร เราเห็นว่าก็มีบางคนที่เห็นพระคริสต์ด้วยตาของตัวเองหลังจากที่พระองค์ทรงฟื้นคืนพระชนม์จากความตายยังคง "สงสัย" (มัทธิว 28:17) คุณต้องมาหาพระคริสต์โดยความเชื่อ พระเยซูคริสต์ทรงตรัสว่า

“เจ้าจะแสวงหาเราและพบเราเมื่อเจ้าแสวงหาเราด้วยสิ้นสุดใจของเจ้า” (เยเรมีย์ 29:13) “ด้วยว่าความเชื่อด้วยใจก็นำไปสู่ความชอบธรรม” (โรม 10:10)

ผมได้พบกับพระคริสต์ตอน 10:30 โมงเช้า ของเดือนกันยายน 28, 1961 ในห้องประชุมที่พระคริสตธรรม ไบโอลา (ตอนนี้เป็นมหาวิทยาลัย) คือหลังการเทศนาของ ดร. ชาร์ลเจ. วูดบริดจ์ ผู้ซึ่งลาออกจากพระคริสตธรรมฟูเลอร์ในปี 1957 เพราะว่ารับบการสอนที่นั่นเน้นเสรีนิยมมากเกินไป (ดู Harold Lindsell, Ph.D., The Battle for the Bible, Zondervan Publishing House, 1978 edition, p. 111) และคุณก็สามารถรู้จักพระคริสต์ผู้ฟื้นคืนพระชนม์ได้เช่นกัน - ถ้าคุณต้องการรู้จักพระองค์มากพอที่จะ "พยายามเข้าไปทางประตูแคบ" (ลูกา 13:24) เมื่อคุณมาที่พระคริสต์ บาปของคุณจะได้รับการชำระบาปโดยโลหิตของพระองค์ และคุณจะบังเกิดใหม่ด้วยการฟื้นคืนพระชนม์ของพระองค์จากความตาย ผมอธิษฐานขอให้คุณมาหาพระเยซูคริสต์ในไม่ช้านี้! อาเมน

ตอนที่คุณเขียนหนังสือไปให้ ดร. ไฮเมอร์ส บอกท่านเสมอว่าคุณเขียนมาจากประเทศอะไร หรือท่านไม่ได้ตอบคุณ หากคุณได้รับพระพรจากบทเทศนานี้ ดร. ไฮเมอร์ส อยากจะได้ยินจากคุณ ตอนที่เขียนจดหมายถึง ดร. ไฮเมอร์ส กรุณาบอกท่านว่าคุณเขียนมาจากประเทศอะไร หรือหากท่านไม่อาจตอบอีเมลล์ของท่าน หากบทเทศนานี้เป็นพระพรให้กับคุณ กรุณาเขียนอีเมล์ส่งไปให้ ดร. ไฮเมอร์ส และบอกท่านว่าคุณเขียนมาจากประเทศอะไร และนี่คืออีเมล์ของดร.ไฮเมอร์ส – rlhymersjr@sbcglobal.net (คลิกที่นี่) คุณสามารถเขียนถึง ดร. ไฮเมอร์ส ในภาษาของคุณ แต่หากเป็นไปได้ก็ขอให้เขียนเป็นภาษาอังกฤษ หรือเขียนส่งจดหมายส่ง ดร. ไฮเมอร์ส ทางไปรษณีตามที่อยู่นี้ P.O. Box 15308, Los Angeles, CA 90015. คุณสามารถโทรศัพท์ไปท่านได้ที่ (818)352-0452

(จบการเทศนา)
คุณสามารถอ่านบทเทศนาของ ดร.ไฮเมอร์ส ในแต่ละสัปดาห์ทางอินเทอร์เน็ทได้ที่
at www.sermonsfortheworld.com.
คลิกที่นี่) “บทเทศนาในภาษาไทย”

หมายเหตุ: ต้นฉบับของบทเทศนาเหล่านี้ไม่ได้สงวนลิขสิทธิ์
คุณสามารถนำไปใช้โดยที่ไม่ต้องขออนุญาตจาก ดร. ไฮเมอร์ส
แต่อย่างไรก็ตามข้อความทั้งหมดของ ดร. ไฮเมอร์ส
ที่อยู่ในรูปวิดีโอนั้นมีการสงวนลิขสิทธิ์และต้องได้รับการอนุญาตเท่านั้นถึงจะสามารถนำมาใช้ได้

ร้องเพลงเดี่ยวโดย ผป. เบนจามิน คินเคด กรีฟิฟท์:
“In Christ Alone” (Keith Getty and Stuart Townend, 2001)


โครงร่างของ

สามอย่างที่พิสูจน์ถึงการเป็นขึ้นมาของพระเยซูคริสต์

THREE PROOFS OF CHRIST’S RESURRECTION

เทศนาโดน ดร. อาร์ เอล ไฮเมอร์ส จูเนียร์
by Dr. R. L. Hymers, Jr.

“ด้วยว่าท่านกษัตริย์ทรงทราบข้อความเหล่านี้ดีแล้ว ข้าพระองค์จึงกล้ากล่าวต่อพระพักตร์ของพระองค์ เพราะข้าพระองค์เชื่อแน่ว่า ไม่มีสักอย่างหนึ่งในบรรดาเหตุการณ์เหล่านั้นที่ได้พ้นพระเนตรของพระองค์ เพราะการเหล่านั้นมิได้กระทำกันในที่ลับลี้” (กิจการ 26:26)

(กิจการ 25:19; I โครินธ์ 15:14)

I.   ประการที่หนึ่ง อุโมงค์ว่างเปล่า มัทธิว 28:12-15;
ยอห์น 20:19; มัทธิว 27:63-64, 65, 66

II.  ประการที่สอง บุคคลที่เห็นด้วยตา ยอห์น 20:19; กิจการ 1:3; I โครินธ์ 15:5-8

III. ประการที่สาม การพลีชีพของพวกสาวก มัทธิว 28:17;
เยเรมีย์ 29:13; โรม 10:10; ลูกา 13:24