Print Sermon

เป้าหมายของเว็ปไซต์นี้คือจัดเตรียมบทเทศนาที่เขียนจากต้นฉบับ และในรูปแบบวีดีโอให้กับผู้รับใช้ และมิชชั่นนารีที่ไปรับใช้ในต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศในโลกที่สามที่ขาดแคลนพระคริสตธรรมหรือโรงเรียนอบรมพระคัมภีร์

ต้นฉบับของบทเทศนาเหล่านี้ถูกอ่านในคอมพิวเตอร์ประมาณ 1,500,000 เครื่อง และมากกว่า 221 ประเทศในแต่ละปี โปรดไปอ่านได้ที www.sermonsfortheworld.com ในขณะเดียวกันมีหลายร้อยคนดูวิดีโอบน YouTube และหลังจากนั้นคนเหล่านั้นก็จะย้ายจากดู YouTube มาอ่านเว็บไซต์ของเรา YouTube นำคนมาที่เว็บไซต์ของเรา บทเทศนาต้นฉบับนี้ถูกแปลออกเป็น 46 ภาษา และมีคนอ่านในคอมพิวเตอร์มากถึง 120,000 ทุก ๆ เดือน บทเทศนาต้นฉบับนี้ไม่สงวนลิขสิทธิ์ อนุญาตให้นักเทศนาสามารถนำไปใช้เทศน์ได้ นอกจากนี้ยังมีในรูปแบบวีดีโอเป็นร้อย ๆ ซึ่งเทศน์โดย ดร. ไฮเมอร์ส และนักศึกษาของท่าน บทเทศนาต้นฉบับไม่สงวน แต่จะสงวนเฉพาะในรูปแบบวีดีโอ กรุณาคลิกที่นี่เพื่อเรียนรู้ว่าจะสนับสนุนการประกาศพระกิตติคุณไปทั่วโลกได้อย่างไร

ตอนที่คุณเขียนหนังสือไปให้ ดร. ไฮเมอร์ส บอกท่านเสมอว่าคุณเขียนมาจากประเทศอะไร หรือท่านไม่ได้ตอบคุณ อีเมล์ของ ดร. ไฮเมอร์ส คือ rlhymersjr@sbcglobal.net




คำอธิษฐานที่พระเจ้าทรงตอบ

THE PRAYERS GOD ANSWERS
(Thai)

โดย ดร. ไฮเมอร์ส จูเนียร์
by Dr. R. L. Hymers, Jr.

บทเทศนาที่คริสตจักรแบ๊บติสต์ในนครลอสแอนเจลิส
ในตอนเช้าวันของพระเป็นเจ้าที่ 22 พฤษภาคม ค.ศ. 2016
A sermon preached at the Baptist Tabernacle of Los Angeles
Lord’s Day Evening, May 22, 2016

“ท่านเอลียาห์ก็เป็นมนุษย์ที่มีสภาพอารมณ์เช่นเดียวกับเราทั้งหลาย และท่านได้อธิษฐานอย่างจริงจังเพื่อไม่ให้ฝนตก และฝนก็ไม่ตกต้องแผ่นดินเป็นเวลาถึงสามปีกับหกเดือน” (ยากอบ 5:17)


เป็นที่น่าสนใจว่าพันธสัญญาเดิมไม่ได้พูดถึงคำอธิษฐาของเอลียาห์ในบทอธิษฐานเหล่านี้ พระคัมภีร์แค่บอกเราว่าผู้เผยพระวจนะรู้ว่าพระเจ้าจะตอบคำอธิษฐานที่ตัวเองกล่าวถึง (1 กษัตริย์ 17: 1) กับผมแล้วดูเหมือนว่าคำอธิษฐานของเอลียาห์พระเจ้าได้เปิดเผยให้กับยากอบ แต่พันธสัญญาเดิมเพียงแค่บอกให้เราทราบถึงสิ่งที่ผู้เผยพระวจนะกล่าวให้กับอาหับเท่านั้น ดร. แมคกี้ ชี้ให้เห็นว่าผู้เผยพระวจนะพูดกับมนุษย์ แต่ปุโลหิตพูดกับพระเจ้า เอลียาห์เป็นผู้เผยพระวจนะ ดังนั้นพระคัมภีร์เพียงบอกให้เราทราบสิ่งที่เอลียาห์กล่าวให้อาหับ สิ่งที่เอลียาห์ทูลพระเจ้าถูกซ่อนไว้จนกว่าพระเจ้าทรงเปิดเผยให้ยากอบ เอลียาห์พูดกับอาหับว่า

“พระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลผู้ซึ่งข้าพระองค์ปฏิบัติทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด จะไม่มีน้ำค้างหรือฝนในปีเหล่านี้ นอกจากตามคำของข้าพระองค์” (1 พงศ์กษัตริย์ 17:1)

เราไม่ทราบอะไรมากเกี่ยวกับคำอธิษฐานของเอลียาห์ถึงภัยแล้งและฝนตามที่ปรากฏในยากอบ 5:17 พระเจ้าไมได้ทรงดลใจให้ยากอบ (2 ทิโมธี 3:16)

ข้อความนี้บอกเราว่าเอลียาห์อธิษฐาน "อย่างจริงจัง" เพื่อให้เกิดภัยแล้งและฝนตก" เขาอธิษฐานด้วยการอธิษฐาน" คำภาษากรีกแปลว่า "เอาจริงเอาจัง" โทมัส แมนตัน (1620-1677) กล่าวว่านั่นหมายถึง "ข้อตกลงระหว่างลิ้นและใจ การเต้นของหัวใจและ ลิ้น [ที่] อธิษฐาน" (Commentary on James, The Banner of Truth Trust, 1998 reprint) ผมเชื่อว่ามันมีความหมายมากกว่าการอธิษฐานเพียงแค่ออกเสียงดัง ผมคิดว่าแมนตันพูดถูกที่ว่า นั่นหมายถึงข้อตกลงระหว่างลิ้นและใจ หมายความว่าใจปรารถนาอย่างจริงจังที่จะอธิษฐาน

หลายปีที่ผ่านมา ผมได้เห็นพระเจ้าทรงตอบคำอธิษฐานอย่างมากมาย แต่ใช่ว่าทุกอย่างที่ผมอธิษฐานนั้นจะทรงตอบแบบทันทีทันใด การทรงตอบคำอธิษฐานที่สำคัญนั้นส่วนมาก เป็นเพราะเรารู้ว่าสิ่งที่เราขอนั้นเป็นภาระหนัก เป็นบางอย่างที่เราไม่อาจที่จะหยุดคิดถึงเรื่องนี้ คริสเตียนยุคก่อนเรียกว่า "ภาระ" เป็นบางสิ่งบางอย่างที่หนักให้กับคุณ เป็นสิ่งที่คุณต้องการจริงๆและไปมาอยู่ในใจของคุณ และคุณอธิษฐานขอจนกว่าจะได้รับสิ่งที่ขอนั้น

พระคริสต์ให้สองคำอุปมาเพื่อแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการอธิษฐานอย่างต่อเนื่อง เพื่อขอให้สิ่งที่เป็นภาระหนักจนกว่าจะได้รับคำตอบ อุปมาแรกเรียกว่า "อุปมาเกี่ยวกับเพื่อนที่รบเร้า" รบเร้าหมายความว่า "ไม่หยุดยั้ง" หรือแม้ “เจอปัญหา” พบในลูกา 11: 5-13 อยู่ในหน้า 1090 ในพระคัมภีร์ฉบับ the Scofield Study Bible โปรดยืนและอ่านออกเสียงดัง ๆ

“พระองค์ตรัสแก่เขาว่า “ผู้ใดในพวกท่านมีมิตรสหายคนหนึ่ง และจะไปหามิตรสหายนั้นในเวลาเที่ยงคืนพูดกับเขาว่า เพื่อนเอ๋ย ขอให้ข้ายืมขนมปังสามก้อนเถิด เพราะเพื่อนของข้าคนหนึ่งเพิ่งเดินทางมาหาข้า และข้าไม่มีอะไรจะให้เขารับประทาน ฝ่ายมิตรสหายที่อยู่ข้างในจะตอบว่า ‘อย่ารบกวนข้าเลย ประตูก็ปิดเสียแล้ว ทั้งพวกลูกก็นอนร่วมเตียงกับข้าแล้ว ข้าจะลุกขึ้นหยิบให้ท่านไม่ได้ เราบอกท่านทั้งหลายว่า แม้เขาจะไม่ลุกขึ้นหยิบให้คนนั้นเพราะเป็นมิตรสหายกัน แต่ว่าเพราะวิงวอนมากเข้า เขาจึงจะลุกขึ้นหยิบให้ตามที่เขาต้องการ เราบอกท่านทั้งหลายว่า จงขอแล้วจะได้ จงหาแล้วจะพบ จงเคาะแล้วจะเปิดให้แก่ท่าน เพราะว่าทุกคนที่ขอก็จะได้ ทุกคนที่แสวงหาก็จะพบ และทุกคนที่เคาะก็จะเปิดให้เขา มีผู้ใดในพวกท่านที่เป็นบิดา ถ้าบุตรขอขนมปังจะเอาก้อนหินให้เขาหรือ หรือถ้าขอปลาจะเอางูให้เขาแทนปลาหรือ หรือถ้าเขาขอไข่จะเอาแมงป่องให้เขาหรือ เพราะฉะนั้น ถ้าท่านทั้งหลายเองผู้เป็นคนชั่ว ยังรู้จักให้ของดีแก่บุตรของตน ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด พระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในสวรรค์ จะทรงประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์แก่ผู้ที่ขอต่อพระองค์”?” (ลูกา 11:5-13)

พวกคุณนั่งลงได้

ตลอดคำอุปมาสอนให้เราขอและอธิษฐานจนกว่าเราจะได้รับสิ่งที่ขอ ข้อเก้าและสิบพูดว่า

“เราบอกท่านทั้งหลายว่า จงขอแล้วจะได้ จงหาแล้วจะพบ จงเคาะแล้วจะเปิดให้แก่ท่าน เพราะว่าทุกคนที่ขอก็จะได้ ทุกคนที่แสวงหาก็จะพบ และทุกคนที่เคาะก็จะเปิดให้เขา” (ลูกา 11:9-10)

"ถาม" "หา" และ "เคาะ" อยู่ในรูปกาลปัจจุบันในภาษากรีก อาจจะแปลว่า "ขอต่อเนื่อง หาต่อเนื่อง เคาะต่อเนื่อง" ตอนนี้ดูที่ข้อ 13

“เพราะฉะนั้น ถ้าท่านทั้งหลายเองผู้เป็นคนชั่ว ยังรู้จักให้ของดีแก่บุตรของตน ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด พระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในสวรรค์ จะทรงประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์แก่ผู้ที่ขอต่อพระองค์?” (ลูกา 11:13)

ดังนั้น การอธิษฐานที่ต่อเนื่อง จะได้รับคำตอบจากพระเจ้าโดยประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้กับ "เพื่อน" ของเราที่มีความต้องการ ดร. จอห์น อา ไรซ์ ถูกต้องเมื่อเขากล่าวว่า สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับคริสเตียนเพื่อขอฤทธิ์อำนาจจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สามารถเอาชนะจิตวิญญาณ (Prayer: Asking and Receiving, pp. 212, 213)

แต่ยังมีคำสอนเดียวกันนี้ถูกกล่าวในมัทธิว 7: 7-11 อยู่ในหน้า 1003 ในการศึกษาพระคัมภีร์ Scofield Study Bible อ่านออกเสียง

“จงขอแล้วจะได้ จงหาแล้วจะพบ จงเคาะแล้วจะเปิดให้แก่ท่านเพราะว่าทุกคนที่ขอก็ได้รับ คนที่แสวงหาก็พบ และคนที่เคาะก็จะเปิดให้เขา ในพวกท่านมีใครบ้างที่จะเอาก้อนหินให้บุตร เมื่อเขาขอขนมปัง หรือให้งูเมื่อบุตรขอปลา เหตุฉะนั้น ถ้าท่านทั้งหลายเองผู้เป็นคนชั่ว ยังรู้จักให้ของดีแก่บุตรของตน ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใดพระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในสวรรค์จะประทานของดีแก่ผู้ที่ขอจากพระองค์?” (มัทธิว 7:7-11)

คุณจะพบว่าข้อ 11 มีคำพูดที่แตกต่างกัน ในลูกา 11 พระเยซูตรัสว่า "พระองค์พระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในสวรรค์ จะทรงประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์แก่ผู้ที่ขอต่อพระองค์?" แต่ในมัทธิว 7:11 พระเยซูตรัสว่า "วิธีการอื่น ๆ อีกมากมายให้พระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในสวรรค์ให้สิ่งที่ดีให้กับพวกเขา ที่ขอต่อพระองค์ "ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใดพระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในสวรรค์จะประทานของดีแก่ผู้ที่ขอจากพระองค์?”

ผู้เผยพระวจนะเอลียาห์อธิษฐานขอไม่ให้ฝนตกและฝนก็ไม่ตกถึงสามปีครึ่ง นั่นคือภาระของพระเจ้าที่วางอยู่ในใจของเขา และเมื่อเขาอธิษฐานพระเจ้าตอบโดยให้ฝนตก บางครั้งพระเจ้าตอบอย่างทันทีทันใด บางเวลาสิ่งที่เราขอครั้งแรกก็ไม่ทรงตอบ

ผมจำได้คืนหนึ่งที่พระเจ้าทรงตอบคำอธิษฐานทันทีทันใด ตอนนั้นผมอายุแค่สิบสองปี ผมถูกส่งไปอยู่กับป้าและลุงที่อาศัยอยู่ที่ โทปันกา แคนยอน ผมไปเรียนที่โรงเรียนแห่งนั้นได้หลายเดือน - นี่คือหนึ่งในยี่สิบสองโรงเรียนที่ผมถูกส่งไปเรียนก่อนที่จะจบการศึกษาชั้นมัธยม นั่นเป็นเหตุผลที่ผมล้มเหลวและต้องออกจากวิทยาลัยตอนไปเรียนครั้งแรก หากคุณถูกย้ายโรงเรียนถึงยี่สิบสองครั้ง คุณเรียนรู้ไม่ได้มาก ผมแค่เรียนรู้วิธีการอ่าน การคัดลายมือ การบวกและลบเลข นั่นคือทั้งหมดที่ผมเรียนรู้ตอนไปอยู่ที่ โทปันกา แคนยอน เพราะอาศัยอยู่กับป้าที่เมาอยู่ตลอดเวลา คืนหนึ่งญาติและเพื่อนของเธอกำลังดื่มเหล้ากัน ในความเป็นจริงพวกเขาเมาหนักแล้ว พวกเขาบอกว่า "โรเบิร์ต เข้ามาในรถและเราจะนั่งรถเล่นกัน" ผมไม่ต้องการที่จะไป แต่ผมก็เพียงสิบสองปี แล้วก็มีคนตัวใหญ่คนหนึ่งคว้าผมขึ้นรถ และให้นั่งอยู่ในด้านหลังเป็นรถยี่ห้อฟอร์ดคูเป้ปี 1940 ของลุง มีเพียงที่นั่งเดียวอยู่ด้านหน้า จากนั้นพวกเขาก็ให้ผมเข้าไปนั่งด้านหลังที่นั่งข้างหน้าแคบ ๆ นั้น จากนั้นพวกเขาก็เอาเบียร์และวิสกี้ออกมาดื่ม "พวกเราก็นั่งรถแล้วคนขับก็เลี้ยวไปตามถนนแคบๆคดเคี้ยวมุ่งหน้าไปที่ชายหาด หากคุณไม่เคยผ่านถนนเส้นนี้มาก่อน คุณจะมีความคิดทำไมถนนเส้นนี้ถึงเป็นเช่นนี้ เพราะมันคดเคี้ยวไปมาเหมือนงู พวกเขาเมามากส่วนคนขับที่เป็นลูกพี่ลูกน้องของผมใช้ความเร็วประมาณหกสิบไมล์ต่อชั่วโมงวิ่งลงเขา ผมคิดว่าถนนเส้นนี้น่าจะจำกัดความเร็วอยู่ที่ 25 ไมล์ต่อชั่วโมง แต่เรากลับวิ่ง 65 หรือ 70 ไมล์ต่อชั่วโมง หากผมยังมีชีวิตอยู่จะไม่มีวันลืมเหตุการณ์ในวันนั้น บางครั้งผมเองก็ฝันร้ายถึงเรื่องนี้ ตอนนั้นผมกลัวมากๆได้แต่ก้มหน้าอธิษฐานเท่าที่พูดได้ในช่วงเวลานั้น ผมอธิษฐานตามคำอธิษฐานของพระเยซูตลอดทางช่วงลงจากเขา - โดยเน้นแต่คำว่า "โปรดช่วยเราให้พ้นจากความชั่วร้ายนี้ด้วย" หลังจากผ่านเขานั้นไปพวกเราก็จอดรถ ผมได้ออกจากรถและไปยืนอยู่ในที่มืดตัวสั่นคนเดียว ผมรู้ว่าพระเจ้าทรงช่วยพวกเราให้รอดพ้นเส้นทางนี้แน่นอน เพราะมีอุบัติเหตุร้ายแรงบนถนนเส้นนั้นมาเป็นจำนวนมาก ผมเห็นรถยนต์ตกขอบทางและระเบิดไฟลุกไหม้ พระเจ้าทรงช่วยเรา ทรงรตอบคำอธิษฐานนั้น ตอนนั้นผมรู้ และมาตอนนี้ผมก็รู้แม้จะผ่านมาเป็นเวลาหกสิบสามปีแล้วก็ตาม! หลายครั้งที่พระเจ้าทรงตอบคำอธิษฐานสั้นๆเหมือนที่ทรงตอบในคืนนั้น

แต่ก็มีบางเวลาที่เราต้องรอเป็นระยะเวลานานก่อนที่คำตอบจะมา ตอนอายุสิบเจ็ดปีนั้นผมตัดสินใจไม่เป็นนักแสดง แต่เลือกที่จะไปรับใช้พระเจ้าแทน ช่วงนั้นไม่มีอารมณ์ความรู้สึกใดๆที่เข้ามาเกี่ยวข้องเลย ผมจำไม่ได้ว่ามีการ "ทรงเรียก" ให้ไปเทศนาหรือไม่ อาจจะมีใครบางคนบอกว่าเขามี แต่ไม่ใช่ผม กลับไปในสมัยนั้นผู้คนมักเรียกว่า "การยอมจำนน" เพื่อเทศนา ผู้รับใช้มักพูดว่านั่นคือการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่และในที่สุดก็ต้อง "ยอมจำนน" ไปเป็นผู้รับใช้ แต่กับผมกลับไปเคยเข้าสู่การต่อสู้เช่นนี้ ผมเพียงแค่คิดว่าการแสดงนั้นเป็นเรื่องโง่และไร้ค่าและผมยอมที่จะไปเทศนาสั่นสอน ไม่ว่าจะหมายถึงอะไรก็ตาม! ผมยอมให้ตัวเองทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า นั่นคือสิ่งที่นำผมไปที่คริสตจักรจีนเพื่อจะกลายเป็นมิชชันนารี ผมอ่านชีวิตของ เจมส์ ฮัดสันเทย์เลอร์ มิชชันนารีผู้บุกเบิกประเทศจีน และผมรู้ว่าเขาเป็นแบบอย่างที่ดีสำหรับผมที่จะเดินตาม

ดังนั้นผมจึงไปเป็นสมาชิกที่คริสตจักรจีนและยอมทำพันธกิจทุกอย่างที่ทำได้ ผมปลูกดอกไม้ในสวนของคริสตจักรและเป็นภารโรงทำความสะอาดพื้น จัดโต๊ะเก้าอี้ทำเพื่อรับใช้พระเจ้า ในช่วงเวลานั้นผมได้ซื้อวรสารของ จอห์น เวสลีย์ ที่ตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ มูดี้ ตอนนั้นผมไม่รู้เพราะทุกอย่างเหมือนเป็นพระคัมภีร์ ผมไม่ทราบว่าภาพกราฟิกในนั้นเป็นเรื่องราวที่กล่าวถึงการฟื้นฟูใหญ่ครั้งที่หนึ่ง วารสารของ เวสลีย์ ทำให้ผมสนใจเรื่องของการฟื้นฟูมากๆ ตอนนั้นผมยังเด็กเกินไปและไม่มีประสบการณ์ที่จะรู้และเข้าใจถึงการฟื้นฟูใหญ่ที่เกิดในต้นปี 1960 ผมเป็นคนไร้เดียงสาแต่ก็ได้อธิษฐานขอให้มีการฟื้นฟูเกิดขึ้นอีกครั้ง ดังนั้น ตอนอยู่ที่คริสตจักรจีนผมจึงอธิษฐานเพื่อการฟื้นฟูตลอด ผมอธิษฐานอย่างนั้นทุกวัน ผมขอให้เกิดขึ้นที่คริสตจักรจีน ผมอธิษฐานทุกวันอย่างนั้น ทุกครั้งที่มีการอธิษฐานผมจะพูดออกมาดังๆ ตอนที่ผมอธิษฐานก่อนรับประทานอาหารที่คริสตจักร ผมก็ขอให้มีการฟื้นฟู นั่นคือสิ่งหลักๆที่ผมขอฅลอดทั้งปี 1960 ผมจึงไม่แปลกใจเมื่อมีการฟื้นฟูเกิดขึ้นที่ค่ายฤดูร้อนในช่วงปลายปีที่ 1960 ผมรู้ว่าเป็นเพราะความเชื่อและผลของการอธิษฐานจากคนที่ไร้เดียงสาอย่างผม ไม่กี่ปีก่อนที่ท่านจะเสียชีวิต ดร. เมอร์ฟี่ ลุม ทำให้ผมนึกถึงคำอธิษฐานเหล่านั้น ท่านกล่าวว่า "บ๊อบคุณต้องอธิษฐานเพื่อการฟื้นฟู แม้ว่าจะไม่มีใครทำอย่างนั้นก็ตาม" จากนั้นท่านก็กล่าวว่า "บ๊อบผมเชื่อว่าการฟื้นฟูมาเพราะคุณอธิษฐานอย่างต่อเนื่อง " แต่ผมเกือบลืมเรื่องนี้ไป

การฟื้นฟูที่คริสตจักรจีนกลายเป็นภาระในใจของผม ผมเชื่อว่าพระเจ้าทรงวางภาระนี้ในตัวผม ผมจึงไม่สามารถหยุดที่จะคิดเกี่ยวกับมัน และผมก็อธิษฐานจนกว่าจะได้รับคำตอบ อย่างที่คริสเตียนสมัยก่อนเรียกว่า "อธิษฐานอย่างเอาจริงเอาจัง" มันรบเร้า ต้องอธิษฐานสม่ำเสมอ - จนกว่าพระเจ้าจะตอบและคุณก็ได้รับในสิ่งที่คุณถามหา! พระเยซูตรัสว่า

“เหตุฉะนั้น ถ้าท่านทั้งหลายเองผู้เป็นคนชั่ว ยังรู้จักให้ของดีแก่บุตรของตน ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใดพระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในสวรรค์จะประทานของดีแก่ผู้ที่ขอจากพระองค์?” (มัทธิว 7:11)

พระเยซูตรัสอีกครั้งว่า

“เราบอกท่านทั้งหลายว่า จงขอแล้วจะได้ จงหาแล้วจะพบ จงเคาะแล้วจะเปิดให้แก่ท่าน เพราะว่าทุกคนที่ขอก็จะได้ ทุกคนที่แสวงหาก็จะพบ และทุกคนที่เคาะก็จะเปิดให้เขา” (ลูกา 11:9-10)

"ขอ" "หา" และ "เคาะ" อยู่ในรูปปัจจุบันกาลในภาษากรีก นั่นหมายความว่า "ขอต่อไป หาต่อไป และเคาะต่อไป" ดร. จอห์น อาร์ไรซ์ กล่าวว่า "บุตรของพระเจ้ามีสิทธิที่จะ ...ขอเสมอ ต่อเนื่อง เพราะนั่นเป็นพระสัญญาของพระเจ้า และไม่ย่อท้อจนกว่าจะได้สิ่งนั้น ... ได้รับจากพระเจ้า โอ้ ขอให้คนของพระเจ้าได้รับการสนับสนุนให้อธิษฐาน และอธิษฐาน - พวกเขาได้รับการสนับสนุนให้อธิษฐานอย่างเอาจริงเอาจัง!

“จงอธิษฐานต่อไป
   จนกระทั่งคุณขออย่างจริงจัง
จงอธิษฐานต่อไป
   จนกระทั่งคุณขออย่างจริงจัง
พระสัญญาของพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่
   เป็นจริงเสมอ
จงอธิษฐานต่อไป
   จนกระทั่งคุณขออย่างจริงจัง”
(John R. Rice, D.D., Prayer: Asking and Receiving,
Sword of the Lord Publishers, 1970, pp. 213, 214)

ดร. อาร์ เอ ทอร์รีย์ ในหนังสือเล่มเล็ก ๆ ของเขาชื่อ How to Pray, หรือ การอธิษฐาน กล่าวสิ่งเดียวกัน ดร. ทอร์รีย์กล่าวว่า

     พระเจ้าไม่เคยตอบทุกอย่างที่เราขอเป็นครั้งแรก พระองค์ต้องการที่จะฝึกเราและทำให้เราแข็งแกร่ง โดยให้เราทำงานอย่างหนักเพื่อสิ่งที่ดีที่สุด ... พระองค์ต้องการที่จะฝึกเราและทำให้เราแข็งแกร่ง โดยให้เราทำงานอย่างหนักเพื่อสิ่งที่ดีที่สุด พระเจ้าไม่เคยตอบทุกอย่างที่เราขอเป็นครั้งแรก พระองค์ทำให้เราอธิษฐานอย่างจริงจัง
     ผมดีใจที่เป็นเช่นนี้ ไม่มีอะไรสำคัญเท่ากับการอธิษฐานอย่างคนที่เอาจริงเอาจัง และขอไปมาครั้งแล้วครั้งเล่า ในเวลานานๆ ก่อนที่จะได้รับสิ่งที่เราขอจากพระเจ้า หลายคนเรียกมันว่าการยอมจำนนต่อพระประสงค์ของพระเจ้า เมื่อพระองค์ไม่ตอบคำขอของพวกเขาในครั้งแรกหรือครั้งที่สอง พวกเขากล่าวว่า "ดีบางทีมันอาจจะไม่ได้เป็นน้ำพระทัยของพระเจ้า"
     ตามกฎนี้ นี่ไม่ได้การยอมจำนน แต่เป็นความเกียจคร้านฝ่ายจิตวิญญาณ .. เมื่อมีชายหรือหญิงที่เข้มแข็งขอแล้วได้แม้ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ขอแรกครั้งที่สองหรือครั้งที่ร้อยๆก็ตาม แต่คนๆนั้นยังจะขอเรื่อยๆจนกระทั่งได้สิ่งที่ขอนั้น ผู้เชื่อที่เข้มแข็งจะอธิษฐานอย่างต่อเนื่องจนกว่าจะได้รับสิ่งนั้น เพราะคนนั้นเข้าสู่การอธิษฐานอย่างเอาจริงเอาจัง ... เมื่อเราเริ่มต้นอธิษฐาน ไม่ควรยอมแพ้ก่อนที่เราจะได้รับคำตอบ (R. A. Torrey, D.D., How to Pray, Whitaker House, 1983, pp. 50, 51)

แต่ยังมีอีกด้านหนึ่ง คำอธิษฐานของคุณจะไม่ได้รับคำตอบ หากใจของคุณไม่เป็นไปตามของพระเจ้า ผมพาครอบครัวไปพักผ่อนในเมืองแคนคูน เม็กซิโกในช่วงต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมา วันหนึ่งในขณะที่พวกเขาเดินไปดูซากปรักหักพัง ผมเลือดอยู่คนเดียว ผมได้อ่านหนังสือเกี่ยวกับการฟื้นฟูบนเกาะลูอิสจาก ปี 1949 ถึง 1952 ผมอธิษฐานและเขียนบทเทศนา ตอนที่เรากลับมา ผมประกาศว่าเราจะมีการประชุมคืนแห่งการประกาศในทุกๆคืน อย่างที่คุณรู้พระเจ้าสถิตที่นี่ เริ่มต้นด้วย ดร. คาเกน นำแม่ของเขาซึ่งมีอายุ 89 ปีมาเชื่อพระคริสต์ นั่นคือความมหัศจรรย์ที่แท้จริงเพราะเธอเคยเป็นคนไม่เชื่อพระเจ้ามาเป็นเวลาหลายปีจากนั้นหวังว่าแม่ยายของ ดร. คาเกน จะกลับใจใหม่ - ตอนอายุ 86 โดยสถิติเรารู้ว่าการกลับใจใหม่แทบจะไม่เคยเกิดขึ้นให้กับคนอายุเจ็ดสิบขึ่นไป ที่นี่สองสามวัยต่อมา มีผู้หญิงสองคนอายุประมาณสิบแปดได้รับความรอด อัศจรรย์มากๆ! จากนั้นหวังวัยรุ่น 11 คนจะมารับความรอดด้วย และแล้วมีวัยรุ่นสิบสี่คนมารับเชื่อพระเยซู

และแล้วผมก็อ่านโรม 12: 1 และ 2 และประยุกต์ให้กับผู้ที่ได้รับความรอดในคริสตจักรหลายปีก่อนหน้านั้น

“พี่น้องทั้งหลาย ด้วยเหตุนี้โดยเห็นแก่ความเมตตากรุณาของพระเจ้า ข้าพเจ้าจึงวิงวอนท่านทั้งหลายให้ถวายตัวของพวกท่าน เป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิต อันบริสุทธิ์ เป็นที่พอพระทัยพระเจ้า ซึ่งเป็นการรับใช้ที่เหมาะสมของท่านทั้งหลายและอย่าทำตามอย่างชาวโลกนี้ แต่ท่านจงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจเสียใหม่ เพื่อท่านจะได้ทราบพระประสงค์ของพระเจ้าว่าอะไรดี อะไรเป็นที่ชอบพระทัย และอะไรดียอดเยี่ยม” (โรม 12:1, 2)

เมื่อคุณเทศนานานๆเหมือนผม คุณจะเรียนรู้ถึงการตอบสนองของผู้เชื่อในคริสตจักร สิ่งที่ผมรู้สึกไม่ค่อยดี ผมเห็นพวกอนุชนมองแต่พื้น ผมรู้สึกถึงความต่อต้านพระคริสต์ราวกับว่าพวกเขาจะไม่ยอมรับพระองค์ พงกเขาจะไม่ยอมจำนนต่อพระคริสต์ ใจของผมรู้สึกหนาวๆ มันให้ความรู้สึกราวกับว่าพวกเขาต้องการที่จะกลับใจครั้ง เป็นกรณีที่เมื่อมีคนทิ้งโลกนี้ นำพระคริสต์มาอยู่ในใจของพวกเขา ใจเกือบจะเย็นชาก่อนการกลับใจใหม่ ใจจะต้องแตกสลายอีกครั้งและจำนนต่อพระคริสต์อีกครั้ง

กบฏปกครอบงำใจของผู้ที่ปฏิเสธที่จะยอมจำนนต่อพระคริสต์ พระองค์กตรัสว่าให้แบกกางเขน "ทุกวันและตามเรามา" ต้องยอมจำนนต่อพระคริสต์ "ทุกวัน" หรือไม่ก็เลือกที่จะเดินตามใจที่เยือกเย็นและแข็งกระด้างของตัวเอง เป็นเรื่องที่ผิดที่มัวแต่คิดว่า "ตอนนี้ฉันรอดแล้วไม่จำเป็นต้องยอมจำนนต่อพระเยซูคริสต์อีก" แล้วนั่นแตกต่างกันอย่างไรกับการที่อัครทูตเปาโลกล่าวว่า "พี่น้องทั้งหลาย ด้วยเหตุนี้โดยเห็นแก่ความเมตตากรุณาของพระเจ้า ข้าพเจ้าจึงวิงวอนท่านทั้งหลายให้ถวายตัวของพวกท่าน เป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิต อันบริสุทธิ์ เป็นที่พอพระทัยพระเจ้า ซึ่งเป็นการรับใช้ที่เหมาะสมของท่านทั้งหลาย และอย่าทำตามอย่างชาวโลกนี้ แต่ท่านจงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจเสียใหม่ เพื่อท่านจะได้ทราบพระประสงค์ของพระเจ้าว่าอะไรดี อะไรเป็นที่ชอบพระทัย และอะไรดียอดเยี่ยม" (โรม 12: 1, 2) หากต้องการทราบพระประสงค์ของพระเจ้าที่คุณต้องถวายตัวเองเป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิต และอย่าข้องแวะหรือเดินตามกระแสโลก

ใจที่ไม่ยอมจำนนเหมือน “มีชีวิต” แด่พระคริสต์คือคนสองใจ พระวจนะกล่าวว่า “ผู้นั้นจงอย่าคิดว่าจะได้รับสิ่งใดจากองค์พระผู้เป็นเจ้าเลย” (ยากอบม1:7) พระเยซูตรัสว่า “ถ้าผู้ใดใคร่จะตามเรามา ให้ผู้นั้นเอาชนะตัวเอง และรับกางเขนของตนแบกทุกวัน และตามเรามา” (ลูกา 9:23) พระเยซูเรียกคุณให้ปฏิเสธตัวเอง พระองค์เรียกคุณให้ติดตามพระองค์ โอ้ กี่ครั้งในชีวิตที่ฉันสูญเสียความสุขและความรอด เพราะฉันไม่ยอมปฏิเสธตัวเองและติดตามพระองค์! แต่โอ้ สันติสุขของพระเจ้าจะกลับมาได้อย่างไร ครั้งแล้วครั้งเล่าในเวลาที่ฉันได้ถวายตัวเองเป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิตแด่พระเยซู! ผมอธิษฐานเพื่อคฺณทำอย่างนั้น ผมชอบเพลงที่นายกริฟฟิร้อง เพราะเป็นเพลงที่ผมร้องตลอดชีวิต ในยามที่เงียบเหงา สับสน ร้องไห้ ผมก็จะร้องเพลงนี้

โอพระคุณของพระเจ้านั้นมากมาย
   ข้าพระองค์จะขอเรื่อยไป!
ขอให้ความดีของพระองค์เหมือนโซ่ตรวนที่
   มัดใจของข้าฯไว้กับพระองค์
ข้าฯรู้ว่ากำลังเดินตามพระองค์
   ไม่หนีจากพระเจ้าผู้ทรงรัก
นี่คือหัวใจของข้าฯที่ผนึกไว้กับพระองค์
   ประทับตราไว้ที่บังลังก์พิพากาของพระองค์
(“Come, Thou Fount,” Robert Robinson, 1735-1790)

มีบางอย่างในที่นี่คืนนี้ ตามที่รู้ว่าคุณจะต้องปฏิเสธตัวเอง - และจะรับกางเขนของคุณและแบกติดตามพระเยซูใหม่? จะมีบางส่วนในตัวคุณที่จะ "ยอมจำนนร่างกายของคุณ" คือการ "เสียสละ" เป็นเครื่องบูชาที่ยังมีชีวิตให้กับพระเจ้าหรือ? หากพระเจ้ากำลังตรัสให้กับคุณอย่างนี้ ผมจึงอยากใช้เวลานี้ขอพวกคุณให้ลุกออกจากที่นั่งและมาคุกเข่าลงที่ด้านหน้านี้ มาถวายชีวิตของคุณอีกครั้งให้กับพระเยซูผู้ที่สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนเพื่อให้ช่วยให้คุณรอด มาที่นี่และยอมถวายใจและชีวิตของคุณให้กับพระเยซูอีกครั้งและอีกครั้ง มาสารภาพใจที่กบฏหรือบาปที่อยู่ในใจและชีวิตของคุณให้กับพระองค์ และขอให้พระเยซูทรงอภัยคุณและสร้างคุณใหม่ ให้เรายืนขึ้นด้วยกัน และและให้มาคุกเข่าและอธิษฐาน ในขณะที่นายกริฟฟิร้องเพลง พวกคุณค่อยออกมา

ขอให้ได้รับทุกพระพรของพระองค์
   ใจของฉันร้องเพลงถึงพระคุณของพระองค์
เป็นลำธารแห่งความเมตตาไหลไม่เคยหยุด
   สอบว่าบทเพลงสรรเสริญ
สอนฉันร้องเพลงอันไพเราะ
   ร้องออกจากลิ้นฝีปาก
ริมฝีปากที่สรรเสริญ - ฉันคงร้องเรื่อยไป -
   ภูเขาแห่งการทรงไถ่ของพระองค์

นี่ฉันยกเหมืองอีเบนิเซอร์
   ความช่วยเหลือของฉันมาจากพระองค์
และฉันหวังว่าด้วยความสุขที่ดีของพระองค์
   จะกลับบ้านโดยความปลอดภัย
พระเยซูทรงช่วยข้าฯแม้ว่าเป็นคนบาป
   หลงเจิ่มจากพระเจ้าไป
พระองค์ทรงช่วยฉันรอดพ้นจากอันตราย
   โดยโลหิตอันประเสริฐของพระองค์

โอพระคุณของพระเจ้านั้นมากมาย
   ข้าพระองค์จะขอเรื่อยไป!
ขอให้ความดีของพระองค์เหมือนโซ่ตรวนที่
   มัดใจของข้าฯไว้กับพระองค์
ข้าฯรู้ว่ากำลังเดินตามพระองค์
   ไม่หนีจากพระเจ้าผู้ทรงรัก
นี่คือหัวใจของข้าฯที่ผนึกไว้กับพระองค์
   ประทับตราไว้ที่บังลังก์พิพากาของพระองค์

หากคุณได้รับพระพรจากบทเทศนานี้ ดร. ไฮเมอร์ส อยากจะได้ยินจากคุณ ตอนที่เขียนจดหมายถึง ดร. ไฮเมอร์ส กรุณาบอกท่านว่าคุณเขียนมาจากประเทศอะไร หรือหากท่านไม่อาจตอบอีเมลล์ของท่าน หากบทเทศนานี้เป็นพระพรให้กับคุณ กรุณาเขียนอีเมล์ส่งไปให้ ดร. ไฮเมอร์ส และบอกท่านว่าคุณเขียนมาจากประเทศอะไร และนี่คืออีเมล์ของดร.ไฮเมอร์ส – rlhymersjr@sbcglobal.net (คลิกที่นี่) คุณสามารถเขียนถึง ดร. ไฮเมอร์ส ในภาษาของคุณ แต่หากเป็นไปได้ก็ขอให้เขียนเป็นภาษาอังกฤษ หรือเขียนส่งจดหมายส่ง ดร. ไฮเมอร์ส ทางไปรษณีตามที่อยู่นี้ P.O. Box 15308, Los Angeles, CA 90015. คุณสามารถโทรศัพท์ไปท่านได้ที่ (818)352-0452

(จบการเทศนา)
คุณสามารถอ่านบทเทศนาของ ดร.ไฮเมอร์ส ในแต่ละสัปดาห์ทางอินเทอร์เน็ทได้ที่
at www.sermonsfortheworld.com.
คลิกที่นี่) “บทเทศนาในภาษาไทย”

คุณสามารถส่งอีเมล์ถึง ดร. ไฮเมอร์ส ที่ rlhymersjr@sbcglobal.net
– หรือเขียนจดหมายส่งไปให้เขาที่ P.O. Box 15308, Los Angeles, CA 90015.
หรือโทรศัพท์ถึงเขาที (818) 352-0452.

หมายเหตุ: ต้นฉบับของบทเทศนาเหล่านี้ไม่ได้สงวนลิขสิทธิ์
คุณสามารถนำไปใช้โดยที่ไม่ต้องขออนุญาตจาก ดร. ไฮเมอร์ส
แต่อย่างไรก็ตามข้อความทั้งหมดของ ดร. ไฮเมอร์ส
ที่อยู่ในรูปวิดีโอนั้นมีการสงวนลิขสิทธิ์และต้องได้รับการอนุญาตเท่านั้นถึงจะสามารถนำมาใช้ได้

อ่านพระคัมภีร์ก่อนเทศนาโดยท่าน อาเบล บรูดโฮมมี: ยากอบ 4:1-10.
ร้องเพลงเดี่ยวพิเศษโดยท่าน เบนจามิน คินเคด กรีฟีท:
“Come, Thou Fount” (Robert Robinson, 1735-1790).