Print Sermon

เป้าหมายของเว็ปไซต์นี้คือจัดเตรียมบทเทศนาที่เขียนจากต้นฉบับ และในรูปแบบวีดีโอให้กับผู้รับใช้ และมิชชั่นนารีที่ไปรับใช้ในต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศในโลกที่สามที่ขาดแคลนพระคริสตธรรมหรือโรงเรียนอบรมพระคัมภีร์

ต้นฉบับของบทเทศนาเหล่านี้ถูกอ่านในคอมพิวเตอร์ประมาณ 1,500,000 เครื่อง และมากกว่า 221 ประเทศในแต่ละปี โปรดไปอ่านได้ที www.sermonsfortheworld.com ในขณะเดียวกันมีหลายร้อยคนดูวิดีโอบน YouTube และหลังจากนั้นคนเหล่านั้นก็จะย้ายจากดู YouTube มาอ่านเว็บไซต์ของเรา YouTube นำคนมาที่เว็บไซต์ของเรา บทเทศนาต้นฉบับนี้ถูกแปลออกเป็น 46 ภาษา และมีคนอ่านในคอมพิวเตอร์มากถึง 120,000 ทุก ๆ เดือน บทเทศนาต้นฉบับนี้ไม่สงวนลิขสิทธิ์ อนุญาตให้นักเทศนาสามารถนำไปใช้เทศน์ได้ นอกจากนี้ยังมีในรูปแบบวีดีโอเป็นร้อย ๆ ซึ่งเทศน์โดย ดร. ไฮเมอร์ส และนักศึกษาของท่าน บทเทศนาต้นฉบับไม่สงวน แต่จะสงวนเฉพาะในรูปแบบวีดีโอ กรุณาคลิกที่นี่เพื่อเรียนรู้ว่าจะสนับสนุนการประกาศพระกิตติคุณไปทั่วโลกได้อย่างไร

ตอนที่คุณเขียนหนังสือไปให้ ดร. ไฮเมอร์ส บอกท่านเสมอว่าคุณเขียนมาจากประเทศอะไร หรือท่านไม่ได้ตอบคุณ อีเมล์ของ ดร. ไฮเมอร์ส คือ rlhymersjr@sbcglobal.net




คำอุปมาเรื่องผู้หว่านเมล็ดพืช

THE PARABLE OF THE SOWER
(Thai)

โดย ดร. อาร์ เอล ไฮเมอร์ส จูเนียร์
by Dr. R. L. Hymers, Jr.

บทเทศนาที่คริสตจักรแบ๊บติสต์ในนครลอสแอนเจลิส
ในตอนเช้าวันของพระเป็นเจ้าที่ 8 พฤศจิกายน ค.ศ. 2015
A sermon preached at the Baptist Tabernacle of Los Angeles
Lord's Day Evening, November 8, 2015


วันนี้ผมจะเทศนาแตกต่างออกจากการที่ผมเคยเทศน์ ผมอยากให้คุณเปิดพระคัมภีร์ไปที่พระธรรมมาระโก 4 ผมจะอธิบายให้พวกคุณถึงคำอุปมานี้ ซึ่งสามารถพบได้ทั้งในมัทธิว มาระโก และลูกา แต่ในคืนนี้เราจะมาดูแค่ในพระธรรมมาระโก เรื่องราวในคำอุปมานี้พระเยซูชี้ให้เห็นถึงความจริงในฝ่ายวิญญาณ

อะไรคือหัวใจสำคัญของคำอุปมานี้? นั่นคือ – คนส่วนมากที่ได้ยินพระกิตติคุณแต่ไม่ได้รับความรอด! และยิ่งกว่านั้นคือคนได้ยินเกี่ยวกับความรอด แต่กลับไม่ได้รับความรอด แต่ต้องตกนรก! คนส่วนมากจะตกนรก คนส่วนน้อยเท่านั้นที่รอด นั่นคือทำให้หลายคนแปลกใจ พวกเขาพูดว่า “ฉันไม่เชื่อว่าพระเจ้าจะส่งคนไปที่นรก” หากคุณบอกว่า “แต่พระเจ้าในพระคัมภีร์นั้นส่งคนไปที่นรก” พวกเขาก็จะพูดว่า “ฉันไม่เชื่อในพระเจ้านั้น เพราะพระเจ้าของฉันไม่ทำอย่างนั้น” พวกเขาหมายถึงพระเจ้าที่พวกเขาสร้างขึ้นมาในใจของตัวเอง ว่าจะไม่ทำอย่างนั้น แต่พวกเราไม่ได้พูดถึงพระเจ้าที่คุณสร้างด้วยใจของคุณเอง “สิบสองขั้นตอน” ที่คนพูดถึง “พระเจ้าอย่างที่คุณเข้าใจได้” แต่ผมไม่ได้พูดถึงพระเจ้าเท็จองค์นี้ พระเจ้าที่คุณ “สร้างในใจ” นั้นเป็นพระเจ้าที่เทียมเท็จ “พระเจ้าที่คุณสามารถเข้าใจได้” นั้นเป็นพระเจ้าที่เทียมเท็จ ส่วนผมพูดถึงพระเจ้าที่คุณไม่สามารถเข้าใจในพระองค์ได้! นั่นคือพระเจ้าที่ทรงสำแดงพระองค์เองให้กับเราผ่านทางพระคัมภีร์ พระองค์คือพระเจ้าแห่งพระวจนะ! และไม่มีพระเจ้าอื่นอีก! ผมไม่ได้พูดถึงพระเจ้าเท็จที่คุณเชื่อกัน ผมพูดถึงพระเจ้าแห่งความจริง –ที่ทรงสำแดงให้เราในพระคัมภีร์ พระเจ้าเท็จของคุณไม่ส่งใครไปที่นรก แต่พระเจ้าแห่งความจริงนั้นทรงทำ พระเยซูทรงตรัสให้กับผู้คนว่าในพระธรรมมัทธิว 7:13 ดังนี้ว่า “จะถูกทำลาย” ในนรก พระเยซูทรงตรัสในข้อถัดไปว่าคนที่รอดนั้นมี “น้อย” มาก – น้อยมากจริงๆ นั่นคือหัวใจสำคัญในคำอุปมานี้

นั่นเป็นเรื่องง่ายๆที่พระเยซูทรงตรัสเอาไว้ พระองค์ตรัสว่ามีชายคนหนึ่งออกไปหว่านเมล็ดพืช เขาหว่านเมล็ดไปทั่ว บางเมล็ดก็ตกลงที่ข้างทาง ทันใดนั้นนกก็บินลงมากินไปหมด บ้างก็ตกลงบนดินที่มีหิน เมล็ดก็งอกขึ้นมาอย่างฉับพลัน แต่ตอนที่แสงแดดส่องมานั้น ต่างก็เหี่ยวแห้งและตายไปเพราะไม่มีรากที่แข็งแรงพอ บ้างก็ตกลงกลางหนามและมีวัชพืช เมื่องอกขึ้นมาวัชพืชและหนามก็ปกคลุมเสีย จึงไม่สามารถออกดอกออกผลได้ ส่วนเมล็ดที่ตกลงที่ดินดีนั้น มันก็งอกขึ้นมาและผลิตผลมากมาย นั่นคือคำอุปมนี้า เป็นเรื่องเล่าง่ายๆ – แต่แสดงให้เราเห็นถึงความสำคัญแห่งความจริง – คนที่ได้ยินพระกิตติคุณมีจำนวนน้อยที่รอด

ดินสี่ชนิดนี้แสดงถึงคนสี่พวกที่ได้ยินพระกิตติคุณ เมล็ดนั้นคือพระวจนะ พระคัมภีร์ พระคำแห่งความรอดผ่านทางพระเยซูคริสต์ ทุกคนที่มาที่คริสตจักรแห่งนี้ต่างก็ได้ยินพระกิตติคุณ สิ่งที่พวกเขากระทำแสดงถึงชนิดของดินตามคำอุปมานี้

I. ประการแรก คนที่ได้ยินพระกิตติคุณและลืมอย่างกระทันหันคือพวกที่หลงหายไป

ดูในลูกา 4:15

“ซึ่งตกริมหนทางนั้นได้แก่พระวจนะที่หว่านแล้ว และเมื่อบุคคลใดได้ฟัง ในทันใดนั้นซาตานก็มาชิงเอาพระวจนะซึ่งหว่านในใจเขานั้นไปเสีย” (มาระโก 4:15)

คนเหล่านี้คือพวกที่มาเยี่ยมชมคริสตจักรของเราแค่หนึ่งหรือสองครั้ง พวกเขาได้ยินพระคำของพระเจ้า พระวจนะแห่งความรอด แต่ “แล้วนกในอากาศก็มากินเสีย” (มาระโก 4:4) นกที่บินลงมากินเมล็ดพืชนั้นแสดงถึงซาตานและสมุนของมัน “ซาตานก็มาชิงเอาพระวจนะซึ่งหว่านในใจเขานั้นไปเสีย” (มาระโก 4:15)

เราบอกคนเหล่านั้นว่าพระคริสต์ทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนชดใช้บาปของพวกเขา แต่มารบอกพวกเขาว่า “เจ้าไม่มีบาปหรอก เจ้าเป็นคนดี” พระวจนะก็ถูกขโมยออกจากใจของคนเหล่านั้นไปอย่างทันทีทันใด เราพูดว่า “พระคริสต์เป็นขึ้นมาจากความตาย และประทานชีวิตนิรันดร์ให้คุณ” แต่มารบอกว่า “อย่าไปเชื่อเลย! เป็นแค่เรื่องเล่า” ตอนนี้พระวจนะก็ถูกขโมยออกจากใจของคนเหล่านั้นไปอย่างทันทีทันใด พระเยซูตรัสว่า มารนั้น “โกโหก” (ยอห์น 8:44) มันบอกให้คุณโกโหกเพื่อจะได้ไม่เชื่อในพระกิตติคุณและรับความรอด มันต้องการให้คุณเป็นทาสของมัน!

เรานำคนที่หลงหายไปจำนวนมากมาฟังพระวจนะในทุกวันอาทิตย์ แต่ส่วนใหญ่ไม่เคยกลับมาที่คริสตจักรอีกเลย เราบอกพวกเขาถึงข่าวประเสริฐแห่งความรอด เราเตรียมอาหารกลางวัน (หรือเย็น) และจัดงานเลี้ยงวันเกิดที่ยิ่งใหญ่ให้พวกเขา เราทำให้พวกเขารู้ว่าการมาที่คริสตจักรนั้นไม่ใช่เรื่องยาก แต่พวกเขาส่วนใหญ่จำไม่ได้ว่าผมเทศน์อะไร ทำไมล่ะ? เพราะ "ในทันใดนั้นซาตานก็มาชิงเอาพระวจนะซึ่งหว่านในใจเขานั้นไปเสีย" นั่นแหละที่ว่าทำไม! บางคนมาหลายครั้งแต่ดูเหมือนว่าการเทศนานั้นไม่มีผลใด ๆ ให้กับพวกเขา ทำไมล่ะ? เพราะซาตานก็มาชิงเอาพระวจนะซึ่งหว่านในใจเขานั้นไปเสีย นอกจากเทศนาแล้วเรายังถ่ายเอกสารบทเทศนาให้พวกเขานำเอาไปอ่านที่บ้าน พวกเขาตั้งใจอ่านจริงๆหรือไม่ ไม่เลย พวกเขาไม่เคยตั้งใจที่จะอ่าน ผมรู้ว่าพวกเขาส่วนใหญ่นำต้นฉบับที่เราถ่ายเอกสารให้นั้นไปโยนทิ้งในถังขยะที่บ้าน ผมรู้ แต่เราก็ต้องทำอย่างที่เคยทำกันมา ทำไมเราต้องทำอย่างนี้เรื่อยไป เพราะพระเยซูตรัสว่า “จงออกไปตามทางใหญ่และรั้วต้นไม้ทั้งหลาย และเร่งเร้าเขาให้เข้ามาเพื่อเรือนของเราจะเต็ม” (ลูกา 14:23) เพราะว่าพระเจ้าทรงตรัสให้เราทำ

“และเจ้าจะกล่าวถ้อยคำของเราให้เขาฟัง เขาจะฟังหรือปฏิเสธไม่ฟังก็ตามเถอะ เพราะเขาเป็นผู้ที่มักกบฏ” (เอเสเคียล 2:7)

ในขณะที่เราเข้าใกล้ "ยุคสุดท้าย" คนที่กบฏต่อพระเจ้าก็เพิ่มมากยิ่งขึ้น ดังนั้นซาตานก็มาชิงเอาพระวจนะซึ่งหว่านในใจเขานั้นไปเสีย ประมาณสี่สิบปีที่ผ่านมา คุณสามารถเขียนป้ายบอกว่า "มีการศึกษาพระคัมภีร์ที่นี่ตอน 7 โมงเย็น" คนหนุ่มสาวก็จะมากันจำนวนมาก เพียงแค่ได้อ่านป้ายนี้ ผมรู้ เพราะก่อตั้งคริสตจักรอยู่ใกล้กับเมืองซานฟรานให้กับพวกซิฮิปปี้ พวกเขาเป็นคนบาป แน่นอนพวกเขาเป็นอย่างนั้น แต่พวกเขายังเป็นคนที่ดีกว่าเด็กสมัยนี้หลายเท่า! วัยรุ่นสมัยนี้มีจิตใจที่แข็งกระด้างยากต่อการที่จะเข้าไปถึงจิตใจ แม้แต่ใช้ค้อนก็ยังไม่อาจทุบใจของพวกเขาให้แตกสลาย! แน่นอนเรากำลังเข้าสู่ตามอย่างพระวจนะกล่าวว่า “และเจ้าจะกล่าวถ้อยคำของเราให้เขาฟัง เขาจะฟังหรือปฏิเสธ [ไม่] ฟัง” – เพราะพระองค์ทรงตรัสให้เราทำ! ไม่นานเราก็จะพบว่าพระเจ้าทรงเลือกบางคนจากคนเหล่านั้น ที่ได้ฟังพระวจนะเพื่อารับความรอด แต่เราก็เข้าใกล้วันเวลาสุดท้าย ยุคปัจจุบันใกล้สิ้นสุดลง ผมเชื่อว่าอย่างนั้น อย่างน้อยก็คือประเทศอเมริกา พระเจ้าจะพิพากษาเรา “เพราะเหตุนี้พระเจ้าจึงทรงให้ความลุ่มหลงมาครอบงำเขา ให้เขาเชื่อสิ่งที่เท็จ” (2 เธสะโลนิเก 2:11) เรารู้จักพระเจ้าองค์นั้นโดยทางพระคุณ เราถูกเลือกเข้ามา แม้ว่าจะอยู่ในยุคแห่งความชั่วนี้ก็ตาม! เราไม่ได้มองไปที่คนส่วนมาก แต่เรามองไปที่กลุ่มคนที่พระเจ้าทรงเลือกให้ได้รับความรอด เพราะพระคริสต์ตรัสว่า “ท่านทั้งหลายไม่ได้เลือกเรา แต่เราได้เลือกท่านทั้งหลาย” (ยอห์น 15:16) พระเจ้าทรงเลือกทุกคนโดยพระคุณ! ฮาเลลูยา! แต่คนที่พระเจ้าไม่ทรงเลือก “ซาตานก็ [มา] ชิง[เอา] พระวจนะซึ่งหว่านในใจเขานั้นไปเสีย” (มาระโก 4:15) แล้วคุณล่ะ? คุณเป็นคนหนึ่งที่พระเจ้าทรงเลือกหรือไม่? – หรือคุณถูกซาตานมาชิงพระวจนะซึ่งหว่านในใจคุณนั้นไปเสีย – หนีจากพระเจ้าไปตายในความบาปอย่างนั้นหรือ? พระคริสต์ทรงตรัสว่า “ด้วยผู้ที่ได้รับเชิญก็มาก แต่ผู้ที่ทรงเลือกก็น้อย” (มัทธิว 22:14)

II. ประการที่สอง คนที่ได้ยินพระวจนะและรับด้วยความดีใจ แต่ก็ล้มลงในยามที่ถูดทดลองคือคนที่หลงหายไป

ที่มาระโก 4:16-17

“และซึ่งตกที่ซึ่งมีพื้นหิน มีเนื้อดินแต่น้อยนั้นก็ทำนองเดียวกัน ได้แก่บุคคลที่ได้ยินพระวจนะ และก็รับทันทีด้วยความปรีดี แต่ไม่มีรากในตัวจึงทนอยู่ได้ชั่วคราว ภายหลังเมื่อเกิดการยากลำบากและการข่มเหงต่าง ๆ เพราะพระวจนะนั้น ก็เลิกเสียในทันทีทันใด” (มาระโก 4:16-17)

คนที่เปรียบเหมือนเมล็ดที่ตกลงพื้นดินที่มีหินนั้นตรงข้ามกับกลุ่มแรก พวกเขารับพระวจนะด้วยความยินดีและมีความสุข พวกเขามาคริสตจักรและก็รักด้วย พวกเขาร้องเพลงนมัสการด้วยความตื่นเต้น พวกเขาเข้าไปที่ห้องอธิษฐาน พวกเขาออกไปประกาศข่าวประเสริฐ ช่างดีมากๆ! พวกเขารักอย่างนั้น! พวกเขานำบทเทศนากลับไปอ่านที่บ้านอย่างเอาจริงเอาจัง

แต่มีบางอย่างที่ขาดหายไป พวกเขา “ไม่มีราก” พวกเขาไม่มีรากอยู่ในพระคริสต์ “ถูกก่อร่างสร้างขึ้นในพระองค์ให้สมบูรณ์” และ “(โคโลสี 2:7) และ “ทนทานแต่กาลครั้งหนึ่ง” ดร. เจ เวอร์นอน แมคกี้ กล่าวว่า "พวกเขากระตือรือร้นอย่างจริงๆ แต่ไม่มีความสัมพันธ์ที่แท้จริงกับพระคริสต์ มันเป็นเพียงแค่อารมณ์ความรู้สึก" (Thru the Bible, note on Matthew 13:20, 21)

ผ่านไปชั่วขณะหนึ่ง หลังจากที่คนเหล่านั้นพบปัญหาบางอย่างที่อยู่ในคริสตจักร พวกเขารู้สึกไม่อยากไปคริสตจักรอีกต่อไป เมื่อมีปัญหาหรือมีการข่มเหงเข้ามาถึงพวกเขาต่อการเป็นสมาชิกที่คริสตจักร "พวกเขาจะโกรธทันที" แปลตามตัวอักษรคือ "พวกเขาละทิ้งคริสตจักรไปทันที" (ดูฉบับ NIV) เหตุการณ์เช่นนี้มักจะเกิดขึ้นในช่วงคริสมาสต์และปีใหม่ "วันหยุด" พวกเขารู้ว่าเราต้องการให้พวกเขามาร่วมนมัสการวันฉลองคริสมาสต์และนมัสการพระเจ้าในวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ พวกเขาวางแผนที่จะมา แต่แล้วก็มีบางสิ่งที่เกิดขึ้น ณ เวลานั้น นั่นคือเพื่อนที่ไม่เชื่อของพวกเขาเชิญให้ไปงานปาร์ตี้ หรืออย่างอื่น พวกเขาเดินเข้าสู่ทางโลก – และพวกเขาออกไป แรกๆอาจจะดูเหมือนมี "ความทุกข์" หรือปัญหาเล็กๆน้อยๆ แต่นานเข้าคุณจะก็ "หลงหาย" ตอนถูกทดสอบโดย "วันหยุด" เป็นอย่างนั้นจริงหรือไม่? คุณจะออกไปกับเพื่อนที่ไม่เชื่อ หรือคนที่คลั่งแต่ฝ่ายโลก เป็นอย่างนั้นหรือไม่? คุณหนีไปที่ลาสเวกัสกับเพื่อนที่ไม่เชื่อหรือไม่? ทุกๆปีเราเห็นไม่กี่คนที่ไม่มีรากที่แท้จริงอยู่ในพระคริสต์ได้หลงหายไปอย่างรวดเร็วพร้อมกับช่วงวันหยุด

ดร. เดวิด เอฟ เวลส์ เป็นนักเทศน์ที่มีชื่อเสียง ท่านกล่าวว่า "คนเหล่านี้ [บุคคล] ไม่สนใจในหลักคำสอนแท้จริงที่จะต้องเชื่อนั้น ... เหล่านี้ [เรียกว่า] 'ผู้กลับใจใหม่' แต่ปฏิเสธที่จะมีชีวิตเปลี่ยนไป นี่เห็นได้ชัดว่าปัจจุบันนี้มีหลายคนที่เป็นเช่นนี้ในอเมริกา" (David F. Wells, Ph.D., The Courage to be Protestant, Eerdmans Publishing Company, 2008, p. 89)

ดร. เจ เวอร์นอน แมคกี้ เรียกคนเหล่านี้ว่า "คริสเตียนเอลกา-โซดา หรือ Alka-Seltzer Christiansคือผู้เชื่อที่มีแต่ฟองเป็นจำนวนมากอยู่ในพวกเขา ... พวกเขาไม่มีความสัมพันธ์ที่แท้จริงกับพระคริสต์เลยแม้แต่นิด มันเป็นเพียงอารมณ์ความรู้สึก พวกเขาเป็นคนที่มีพื้นเป็นหิน" (ibid.)

III. ประการที่สาม คนที่ได้ฟังพระกิตติคุณ แต่ยังลุ่มหลงอยู่กับความร่ำรวย ความชั่วในโลก พวกเขาคือคนที่หลงหายไป

ให้ดูที่มาระโก 4:18, 19,

“และพืชซึ่งหว่านกลางหนามนั้นได้แก่บุคคลที่ได้ฟังพระวจนะ แล้วความกังวลตามธรรมดาโลก และความลุ่มหลงในทรัพย์สมบัติ และความโลภในสิ่งอื่น ๆ ได้เข้ามาและปกคลุมพระวจนะนั้น จึงไม่เกิดผลl” (มาระโก 4:18, 19)

ดร. แมคกี้ กล่าวว่า "มารอยู่ข้างทางและตามเนื้อหนัง เพื่อขโมยสิ่งที่ตกตามซอกหินที่มีดินน้อย แต่โลกและความโลภในสิ่งอื่น ๆ ได้ขโมยพระวจนะออกจากผู้ที่ได้ฟัง พวกเขาสนใจแต่ฝ่ายโลก ... ผมพบว่าคนจำนวนมากสนใจแต่ฝ่ายโลกและหนีออกจากพระวจนะของพระเจ้า " (ibid.)

เราเห็นอย่างนั้นครั้งแล้วครั้งเล่า มีอนุชนบางคนมาที่คริสตจักร ดูเหมืนว่าพวกเขากลับใจใหม่แล้ว หลังจากนั้นไม่นานก็เริ่มแสวงหาเงินทองอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่งงานมีลูก และลุ่มหลงอยู่กับราคะตัญหา ลองดูฉบับ NIV เพื่อให้เข้าใจมากยิ่งขึ้น นั่นคือกล่าวว่า “แล้วความกังวลตามธรรมดาโลก และความลุ่มหลงในทรัพย์สมบัติ และความโลภในสิ่งอื่น ๆ”

เมื่อยี่สิบปีก่อน มีคนกลุ่มหนึ่งได้หนีออกจากคริสตจักรของเราไป มีชายคนหนึ่งชื่อ โอลิเวส หนีคริสตจักรของเราและไปยังคริสตจักรอื่น เขาบอกว่าผมเข้มงวดมากเกินไป หลังจากทานอาหารเย็นเสร็จแล้ว จริงๆแล้วพวกเขาไม่จำเป็นต้องไปนัสการในช่วงเย็น พวกเขาไม่จำเป็นต้องนำผู้ที่ไม่เชื่อมาที่คริสตจักร สิ่งที่พวกเขาทำก็คือให้ตัวเองมาคริสตจักรก็พอ – และมาเฉพาะช่วงที่พร้อมเท่านั้น นั่นก็ดีสุดๆแล้ว! ตอนนี้พวกเขาไม่จำเป็นมาที่คริสตจักรที่มีศิษยาภิบาลแก่และเข้มงวดอีกต่อไป! และแล้วหลังจากนั้นไม่นานคนเหล่านั้นก็หนีจากคริสต์แห่งใหม่นั้นไปอีก หนึ่งในคนเหล่านั้นบอกท่าน โพรมโฮมมี ว่า “คริสตจักรใหม่นั้นเป็นเพียงแค่ที่พักชั่วคราวก่อนกลับไปสู่โลก” นั่นคือสิ่งที่ได้เกิดขึ้น “ที่คริสตจักรโอลิเวส” นั่นจะเกิดขึ้นอีกหรือไม่? ใช่ จะเกิดขึ้นอีก – หากคุณรักโลกนี้ ลุ่มหลงในทรัพย์สมบัติและความโลภในโลก! ใช่ จะเกิดขึ้นอีกให้กับคริสตจักรที่มีแต่หนาม! ใช่ จะเกิดขึ้นอีก

ตอนนี้ลองฟัง ดร. เจ เวอร์นอน แมคกี้ อีกครั้งหนึ่ง

ชนิดของดินในสามประเภทนี้ ไม่ได้แสดงถึงสามชนิดของผู้เชื่อ – ความจริงคือ สามในสี่ของคนเหล่านั้นเป็นพวกที่ไม่เชื่อเลยแม้แต่น้อย! พวกเขาเคยได้ยินพระวจนะ แต่ฟังแบบผ่านๆเท่านั้น...หรือกล่าวอีกอย่างคือว่าพวกเขาไม่รอด เพียงแค่หนึ่งในสี่เท่านั้นที่รอด เฟรนกี้บอกว่า ในชีวิตการทำพันธกิของผมนั้นมีเปอร์เซ็นน้อยกว่านั้นอีก (McGee, ibid., pp. 73, 75)

”พวกเขาจะออกไปและบอกคุณว่าพวกเขารอดแล้ว แต่ความจริงคือพวกเขาไม่รอดเลย! ผมเห็นด้วยกับ ดร. แมคกี้ ที่บอกถึงคนที่ไม่เชื่อเหล่านี้ดังนี้ว่า "ผมถือว่าคนเหล่านั้นคือพวกอีเวนเจลิคอล์ที่อยู่ทางใต้ของรัฐแคลิฟอร์เนีย” (เล่มเดียวกัน หน้า 73) เดวิด เอฟเวลส์ กล่าวว่า "พวกเขาเป็นแบบ [ตัวอย่าง] ของ 'ไลศาสนาคริสต์ที่เป็นของพวกอีเวนเจลิคอล์ที่มีอยู่ทั่วไป ... น้อยกว่าหนึ่งในสิบที่แสดงว่าเป็นสาวกของพระคริสต์ ตามคำนิยามของพระคัมภีร์" (Wells, ibid., p. 91) อาเมนให้กับพี่ชายท่านนี้!

IV. ประการที่สี่ คนที่ได้ยินพระกิตติคุณแล้วก็รับไว้ แล้วก็เกิดผล คือคนที่รอดแล้ว

ดูที่ข้อ 20

“ส่วนพืชซึ่งหว่านตกในดินดีนั้น ได้แก่บุคคลที่ได้ยินพระวจนะนั้น และรับไว้ จึงเกิดผลสามสิบเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง ร้อยเท่าบ้าง” (มาระโก 4:20)

คนพวกนี้คือใคร? ผมจะยกชื่อบางคนของคนเหล่านี้มาเป็นตัวอย่าง และนี่คือบุคคลที่คุณน่าจะนำมาเป็นตัวอย่าง นั่นคือ ดร. และนางคาเกน ดร. ชานและภรรยา นายกริฟฟิและภรรยานายซ่งและภรรยา นายเมนเซียและภรรยา นางซัลลาซาร์ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งเธอเอง!) นายแซนเดอและภรรยา นายโอลิวาสและภรรยา นายโพรมโฮมมีและภรรยา นายไฮเมอร์สและภรรยา นายซาบาลากา เซอร์จิโอ เมลโล อีเอ็มไอ บาลากา ลาร่าเอสโกบาร์ ซามูเอลจอห์น คาเกน – นั่นคือตัวอย่างของคนที่รอดแล้ว! ผมสามารถยกตัวอย่างได้แค่นี้! หากทำตามตัวอย่างของคนเหล่านี้แล้วคุณจะไม่หลงผิด! อาเมน! ฮาเลลูยา! สรรเสริญพระนามของพระเยซูคริสต!

จงเริ่มต้นด้วยการวางใจพระคริสต์ เติบโตโดยการวางใจพระเยซูคริสต์ เติบโตสู่การเป็นสาวกโดยการวางใจพระเยซูคริสต์ อย่างที่บทเพลงเก่าๆนี้เขียนเอาไว้ "ไม่ว่าอะไรก็ตามจงวางใจพระเยซูเท่านั้น!” คนในสามกลุ่มนั้นไม่มีใครเลยที่เชื่อพระเยซู! พวกเขาวางใจแต่ตัวเอง นั่นจึงเป็นเหตุผลที่พวกเขา "ละทิ้งความเชื่อ" และหนีออกจากคริสตจักรของเรา พวกเขาไม่วางใจพระเยซู พวกเขาเชื่อความคิดและความรู้สึกของตัวเอง จงหยุดวางใจตัวเอง - และเริ่มต้นวางใจพระคริสต์ จงวางใจพระองค์ในตอนนี้ แล้วพระองค์จะชำระคุณให้ปราศจากบาปทั้งหมดโดยโลหิตอันมีค่าของพระองค์! จงวางใจในพระองค์ตอนนี้ และรับชีวิตนิรันดร์ทันที! อาเมน! ฮาเลลูยา! สรรเสริญพระนามของพระเยซู! ดร. ชานกรุณานำเราอธิษฐาน

หากคุณได้รับพระพรจากบทเทศนานี้ ดร. ไฮเมอร์ส อยากจะได้ยินจากคุณ ตอนที่เขียนจดหมายถึง ดร. ไฮเมอร์ส กรุณาบอกท่านว่าคุณเขียนมาจากประเทศอะไร หรือหากท่านไม่อาจตอบอีเมลล์ของท่าน หากบทเทศนานี้เป็นพระพรให้กับคุณ กรุณาเขียนอีเมล์ส่งไปให้ ดร. ไฮเมอร์ส และบอกท่านว่าคุณเขียนมาจากประเทศอะไร และนี่คืออีเมล์ของดร.ไฮเมอร์ส – rlhymersjr@sbcglobal.net (คลิกที่นี่) คุณสามารถเขียนถึง ดร. ไฮเมอร์ส ในภาษาของคุณ แต่หากเป็นไปได้ก็ขอให้เขียนเป็นภาษาอังกฤษ หรือเขียนส่งจดหมายส่ง ดร. ไฮเมอร์ส ทางไปรษณีตามที่อยู่นี้ P.O. Box 15308, Los Angeles, CA 90015. คุณสามารถโทรศัพท์ไปท่านได้ที่ (818)352-0452

(จบการเทศนา)
คุณสามารถอ่านบทเทศนาของ ดร.ไฮเมอร์ส ในแต่ละสัปดาห์ทางอินเทอร์เน็ทได้ที่
at www.sermonsfortheworld.com.
คลิกที่นี่) “บทเทศนาในภาษาไทย”

คุณสามารถส่งอีเมล์ถึง ดร. ไฮเมอร์ส ที่ rlhymersjr@sbcglobal.net
– หรือเขียนจดหมายส่งไปให้เขาที่ P.O. Box 15308, Los Angeles, CA 90015.
หรือโทรศัพท์ถึงเขาที (818) 352-0452.

หมายเหตุ: ต้นฉบับของบทเทศนาเหล่านี้ไม่ได้สงวนลิขสิทธิ์
คุณสามารถนำไปใช้โดยที่ไม่ต้องขออนุญาตจาก ดร. ไฮเมอร์ส
แต่อย่างไรก็ตามข้อความทั้งหมดของ ดร. ไฮเมอร์ส
ที่อยู่ในรูปวิดีโอนั้นมีการสงวนลิขสิทธิ์และต้องได้รับการอนุญาตเท่านั้นถึงจะสามารถนำมาใช้ได้

อ่านพระคัมภีร์ก่อนเทศนาโดยท่าน อาเบล บรูดโฮมมี: ลูกา 8:11-15.
ร้องเพลงเดี่ยวพิเศษโดย ท่าน เบนจามิน คินเคด กรีฟฟี่:
“If I Gained the World” (by Anna Olander, 1861-1939).


โครงร่างของ

คำอุปมาเรื่องผู้หว่านเมล็ดพืช

THE PARABLE OF THE SOWER

โดย ดร. อาร์ เอล ไฮเมอร์ส จูเนียร์
by Dr. R. L. Hymers, Jr.

I.     ประการแรก คนที่ได้ยินพระกิตติคุณและลืมอย่างกระทันหันคือพวกที่หลงหายไป มาระโก 4:15, 4; ยอห์น 8:44; ลูกา 14:23; เอเสเคียล 2:7; 2 เธสะโลนิเก 2:11; ยอห์น 15:16; มัทธิว 22:14

II.    ประการที่สอง คนที่ได้ยินพระวจนะและรับด้วยความดีใจ แต่ก็ล้มลงในยามที่ถูดทดลองคือคนที่หลงหายไป มาระโก 4:16, 17; โคโลสี 2:7.

III.   ประการที่สาม คนที่ได้ฟังพระกิตติคุณ แต่ยังลุ่มหลงอยู่กับความร่ำรวย ความชั่วในโลก พวกเขาคือคนที่หลงหายไป มาระโก 4:18, 19.

IV.   ประการที่สี่ คนที่ได้ยินพระกิตติคุณแล้วก็รับไว้ แล้วก็เกิดผล คือคนที่รอดแล้ว มาระโก 4:20.