Print Sermon

เป้าหมายของเว็ปไซต์นี้คือจัดเตรียมบทเทศนาที่เขียนจากต้นฉบับ และในรูปแบบวีดีโอให้กับผู้รับใช้ และมิชชั่นนารีที่ไปรับใช้ในต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศในโลกที่สามที่ขาดแคลนพระคริสตธรรมหรือโรงเรียนอบรมพระคัมภีร์

ต้นฉบับของบทเทศนาเหล่านี้ถูกอ่านในคอมพิวเตอร์ประมาณ 1,500,000 เครื่อง และมากกว่า 221 ประเทศในแต่ละปี โปรดไปอ่านได้ที www.sermonsfortheworld.com ในขณะเดียวกันมีหลายร้อยคนดูวิดีโอบน YouTube และหลังจากนั้นคนเหล่านั้นก็จะย้ายจากดู YouTube มาอ่านเว็บไซต์ของเรา YouTube นำคนมาที่เว็บไซต์ของเรา บทเทศนาต้นฉบับนี้ถูกแปลออกเป็น 46 ภาษา และมีคนอ่านในคอมพิวเตอร์มากถึง 120,000 ทุก ๆ เดือน บทเทศนาต้นฉบับนี้ไม่สงวนลิขสิทธิ์ อนุญาตให้นักเทศนาสามารถนำไปใช้เทศน์ได้ นอกจากนี้ยังมีในรูปแบบวีดีโอเป็นร้อย ๆ ซึ่งเทศน์โดย ดร. ไฮเมอร์ส และนักศึกษาของท่าน บทเทศนาต้นฉบับไม่สงวน แต่จะสงวนเฉพาะในรูปแบบวีดีโอ กรุณาคลิกที่นี่เพื่อเรียนรู้ว่าจะสนับสนุนการประกาศพระกิตติคุณไปทั่วโลกได้อย่างไร

ตอนที่คุณเขียนหนังสือไปให้ ดร. ไฮเมอร์ส บอกท่านเสมอว่าคุณเขียนมาจากประเทศอะไร หรือท่านไม่ได้ตอบคุณ อีเมล์ของ ดร. ไฮเมอร์ส คือ rlhymersjr@sbcglobal.net




คนที่พระเจ้าทรงใช้ในงานฟื้นฟู

(บทเทศนาฟื้นฟูครั้งที่ 12)
THE PEOPLE GOD USES IN REVIVAL
(SERMON NUMBER 12 ON REVIVAL)
(Thai)

โดย ดร. อาร์ เอล์ ไฮเมอร์ส จูเนียร์
by Dr. R. L. Hymers, Jr.

เทศนาในตอนเย็นวันของพระเป็นเจ้าที่ 19 เดือนตุลาคม ค.ศ. 2014 ณ
คริสตจักรแบ๊บติสต์แห่งนครลอสแอนเจลิส
A sermon preached at the Baptist Tabernacle of Los Angeles
Lord's Day Evening, October 19, 2014

“แต่พระเจ้าได้ทรงเลือกสิ่งที่โลกถือว่าโง่เขลา เพื่อจะทำให้คนมีปัญญาอับอาย และพระเจ้าได้ทรงเลือกสิ่งที่โลกถือว่าอ่อนแอ เพื่อทำให้คนที่แข็งแรงอับอาย” (1 โครินธ์ 1:27).


หนึ่งในพระธรรมที่โดดเด่นที่สุดเกี่ยวกับการฟื้นฟูนั้นอยู่ในข้อนี้ พระเจ้าเลือกคนโง่และอ่อนแอในโลกนี้ เพื่อทำลายคนที่มีปัญญาและแข็งแรงให้อับอาย ในที่นี้น่าจะชัดเจนให้กับทุกคนที่อ่านพระคัมภีร์ ก่อนที่พระคริสต์จะทรงบังเกิด พระเจ้าทรงเลือกหญิงพรมจารีย์คนหนึ่งจากครอบครัวที่ยากจนเพื่อที่จะเป็นมารดาของพระองค์ ตอนที่พระองค์ทรงประสูติแล้ว พระเจ้าก็ส่งคนเลี้ยงแกะที่ยากจนกลุ่มหนึ่งไปนมัสการพระองค์ พระเจ้าไม่ได้ส่งกษัตริย์เฮโรดหรือผู้ใหญที่เป็นนักปกครองของอิสราเอลไปทักทายทารกน้อยที่เป็นพระคริสต์นั้น แต่พระเจ้ากลับส่งนักดาราศาสตร์สามคนจากแดนไกลที่ไม่ใช่คนอิสราเอล ตอนที่พระเยซูกำลังจะเริ่มทรงทำพันธกิจ พระเจ้าไม่ได้ส่งพวกมหาปุโลหิตออกไปประกาศถึงเรื่องนี้ แต่พระเจ้าได้ทรงส่งผู้เผยพระวจนะยากจนอย่าง ยอห์น ผู้ให้บัพติสมา ตอนที่พระเยซูพร้อมที่จะทรงเรียกอัครสาวกสิบสองคน พระองค์ไม่ได้เลือกสิบสองคนนี้มาจากศาลสูงสุดของชาวยิว แต่พระองค์กลับเรียกสิบสองคนที่เป็นชาวประมงและต่ำต้อย และตอนพระเยซูทรงเลือกสาวกที่เข้ามาแทนที่ยูดาส พระองค์ก็เลือกฆาตกรที่มีนามว่า โซล แห่งทาร์ซัผู้ที่เรียกตัวเองว่า "ตัวเอก" ของคนบาป เป็นคนที่มีบาปหนาเลวร้ายที่สุด! ในชีวิตของพระเยซูคริสต์เป็นที่ชัดเจนว่า

“แต่พระเจ้าได้ทรงเลือกสิ่งที่โลกถือว่าโง่เขลา เพื่อจะทำให้คนมีปัญญาอับอาย และพระเจ้าได้ทรงเลือกสิ่งที่โลกถือว่าอ่อนแอ เพื่อทำให้คนที่แข็งแรงอับอาย” (1 โครินธ์ 1:27)

หัวข้อนี้ยังปรากฏซ้ำแล้วซ้ำอีกในพระคัมภีร์เดิม พระเจ้าทรงเลือกอาเบลให้มาอยู่เหนือคาอินซึ่งเป็นลูกชายคนโตและสำคัญที่สุด พระเจ้าทรงเลือกยาโคยมาเป็นใหญ่กว่าเอเซาแม้ว่าเอเซาเป็นลูกชายคนโตที่ต้องสืบทอดมรดก พระเจ้าทรงเลือกโยเซฟให้เป็นใหญ่กว่าพี่น้องสิบเอ็ดคนของเขาแม้ว่าเขาจะเป็นลูกชายคนสุดท้องและอ่อนแอก็ตาม พระเจ้าทรงเลือกโมเสสให้มาอยู่เหนือฟาโรห์ พระองค์ทรงเลือกคนเลี้ยงแกะให้มาเป็นใหญ่เหนือคนที่โลกถือว่าใหญ่สุด ณ เวลานั้น พระเจ้าทรงเลือกกิเดโอนที่จะช่วยคนอิสราเอลให้รอดพ้นจากคนมีเดียน - แม้กิเดโอนจะกล่าวว่า "ครอบครัวของข้าพระองค์ยากจน... และข้าพระองค์คือคนเล็กสุดน้อยในบ้านบิดาของเข้าฯ" (ผู้วินิจฉัย 6:15) พระเจ้าทรงเลือกหนุ่มน้อยอย่างซามูเอล และเป็นเด็กกำพร้า แทนที่จะเป็นบุตรชายสองคนของมหาปุโรหิต พระเจ้าทรงเลือกเด็กเลี้ยงแกะอย่างดาวิดให้มาอยู่เหนือกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่อย่างซาอูล

ยังเกิดขึ้นอย่างเนื่องในประวัติศาสตร์ของคริสตจักร ดังนั้นจึงยืนยันว่าพระธรรมตอนนี้เป็นจริง

“แต่พระเจ้าได้ทรงเลือกสิ่งที่โลกถือว่าโง่เขลา เพื่อจะทำให้คนมีปัญญาอับอาย และพระเจ้าได้ทรงเลือกสิ่งที่โลกถือว่าอ่อนแอ เพื่อทำให้คนที่แข็งแรงอับอาย” (1 โครินธ์ 1:27)

คนยากจนและคนไร้ที่อยู่ในยุคแรกของคริสเตียน คนเหล่านั้นส่วนใหญ่เป็นทาส พวกเขาถูกกดขี่ข่มเหงจากสิบจักรพรรดิโรมันจนถึงขั้นเสียชีวิต แต่กลับไม่มีใครจำจักรพรรดิหล่านั้นได้สักคน (นอกจาก เนโร ) แม้ว่าจักรพรรดิเหล่านั้นเป็นคนที่มีอำนาจมากที่สุดในโลก ณ เวลานั้นก็ตาม ผู้คนทั่วโลกกลับระลึกถึงบุคคลที่ยอมพลีชีพเพราะความเชื่อทุกครั้ง ในทุกปีสมเด็จพระสันตะปาปาและมวลชนจะจัดงานระลึกถึงคนเหล่านี้ในวันศุกร์ประเสริฐ! ผู้ยอมพลีชีพและเป็นทาสเหล่านั้นได้เอาชนะผู้มีอำนาจอย่างจักรวรรดิโรมันโบราณ!

ลองคิดถึง ลูเทอร์ ผมอยากให้คุณลองมาฟังสิ่งที่ ดร.ลอยด์ โจนส์กล่าวถึงท่าน

อะไรคือความหวังที่ชายคนนั้นมี มาร์ติน ลูเทอร์ เป็นเพียงนักบวชที่ไร้ชื่อเสียง? เขาเป็นใครถึงลุกขึ้นมาต่อต้านทุกคริสตจักร และ ... สิบสองถึงสิบสามศตวรรษที่เชื่อต่างกัน? ดูเหมือนว่าเป็นชายคนหนึ่งที่โอหังลุกขึ้นมาและพูดว่า "เราคนเดียวที่ถูกต้องแต่พวกคุณทั้งหมดผิด" นั่นคือคำพูดของเขาที่ยังพูดอยู่ในทุกวันนี้ และคุณยังจะเห็นว่า ท่านคือคนที่พระวิญญาณของพระเจ้าทรงตรัสผ่าน และแม้ว่าเขาจะยืนหยัดอยู่คนเดียว ในขณะเดียวกันพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงให้เกียรติเขา ด้วยเหตุนี้การปฏิรูปของโปรเตสแตนต์จึงเกิดขึ้นมา และมีอย่างต่อเนื่องและเป็นอย่างนั้นเสมอ... สิ่งที่ผมกำลังพูดคือว่า ตอนที่พระเจ้าทรงเริ่มเคลื่อนไหวคริสตจักรของพระองค์ และตอนนั้นพระองค์ก็ทรงตระเตรียมการฟื้นฟู นี่คือสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำ ทรงวางภาระนี้ให้กับคนบางคนที่ถูกเรียก และเป็นอย่างนั้น คนที่มารวมตัวกัน เป็นคนที่ไร้ชื่อเสียง และรักความสงบ เพราะพวกเขาอยากรับภาระนี้ (Martyn Lloyd-Jones, M.D., Revival, Crossway Books, 1987, pp. 203, 167)

และในทางเดียวเดียวกันอย่างที่คุณพบในประวัติศาสตร์ของการฟื้นฟูทั้งหมด ผู้ชายที่ขื่อ เจมส์ แมคคิวล์เคน เริ่มต้นพูดคุยกับอีกสองคน และพวกเขาเห็นสถานการณ์ทั้งหมดและทั้งสามคนได้มาพบปะกันในห้องเรียนเล็กๆ และเป็นช่องทางแคบๆ ผมมีโอกาสเข้าเยี่ยมชมที่แห่งนั้น ตอนผมไปที่ไอร์แลนด์เหนือ ผมออกไปตามทางของผมเพื่อไปดู เพราะผมชอบดูสถานที่อย่างนั่น ... พวกเขารู้สึกว่านี่คือสถานที่ใช้สำหรับอธิษฐาน (Lloyd-Jones, ibid., p. 165)

และแน่นอน ปี 1859 ได้มีการฟื้นฟูเกิดขึ้นที่ไอร์แลนด์เหนือ เพราะสามคนนี้ได้อธิษฐานขอพระเจ้าทรงเทพระวิญญาณบริสุทธิ์ลงมา ดร. ลอยด์ โจนส์ ยังกล่าวอีกว่า "เชื่อผมเถิดเพื่อน ตอนที่การฟื้นฟูครั้งต่อไปจะมีนั้น จะมาแบบเป็นที่แปลกใจให้กับทุกๆคน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้ที่พยายามที่จะทำให้มีการฟื้นฟูเกิดขึ้น การเกิดขึ้นในครั้งนี้ [แบบไม่มีการเตรียมตัว] ทั้งชายและหญิงต่างได้รับภาระนี้ตามที่ได้อธิษฐานเพราะพวกเขาจะแบกภาระหนักเพราะพวกเขาไม่สามารถช่วยเหลือตัวเอง และพวกเขาต้องการที่จะเข้าร่วมกับผู้อื่นที่มีความรู้สึกในสิ่งเดียวกันและมีการร้องไห้ออกมาให้กับพระเจ้า" (Lloyd-Jones, ibid., pp. 165-166)

ดร. ลอยด์ โจนส์ กล่าวเสริมว่า "แล้วคุณอาจคุ้นเคยกับพวกเมโทดิสนิยมในสาขาต่างๆ เริ่มต้นได้อย่างไร ...? เริ่มต้นแบบเดียวกันกับสองพี่น้องเวสลีย์และไวท์ฟิลด์และคน ๆ ที่เป็นสมาชิกของคริสตจักรในอังกฤษ ... บางครั้งก็ไม่มีใครรู้ถึงสิ่งเกิดขึ้นนั้น แต่พวกเขาเพียงแค่พบปะกันเพราะพวกเขาถูกเรียกมาในเป้าหมายเดียวกัน" (ibid., p. 166)

เราทุกคนต่างก็รู้จัก จอร์จ ไวท์ฟิลด์ และ จอห์น และชาร์ลส์ เวสลีย์ แต่ก่อนหน้านั้นไม่มีใครรู้จักพวกเขาเลย พวกเขาเป็นเพียงชายหนุ่มธรรมดาที่ได้รับการสถาปนาและเห็นคริสตจักรแองกลิกันนั้นตายแล้วและต้องการที่จะถวายเกียรติแด่พระเจ้าจากประสบการณ์ที่มีอยู่กับพระคริสต์

ผมนึกถึงบางคน คนนั้นน่าจะเป็นบิชอป ไรลี กล่าวถึง จอห์น เวสลีย์ ว่าควรจะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นบิชอปใหญ่แห่งแคนเทอร์ผู้นำคริสตจักรแห่งอังกฤษ แต่แน่นอนเขาไม่เคยคิดถึงตำแหน่งสูงนั้นเลย เขากลับถูกเยาะเย้ยและหัวเราะเยาะใส่ เขาถูกห้ามไม่ให้ไปเทศนาที่มหาวิทยาลัย ออสฟอร์ด ซึ่งเขาเองก็สำเร็จการศึกษาที่นี่ เพราะเขาบอกให้พวกนักศึกษาและคณาจารย์ต้องบังเกิดใหม่อีกครั้ง แม้แต่แม่ของเขาเอง ซูซานนา เวสลีย์ก็ไม่พอใจในการเทศนาของเขาอย่างเฃ่น "ต้องศัทธาอย่างจริงจัง" – ต้องบ้าคลั่ง - ก่อนที่เธอจะกลับใจใหม่ ห้าสิบสามปีที่ จอห์น เวสลีย์เทศน์สามครั้งต่อวันให้กับฝูงชนขนาดใหญ่ที่มารวมตัวกันกลางแจ้งในทุ่งนาทั่วอังกฤษเพื่อฟังเขา แต่ต้นสำกัดของตัวเองกลับดูถูกเยาะเย้ยและหัวเราะเยาะใส่ผู้ชายคนนี้ เขาไม่เคยรับเกียรติจนถึงช่วงปลายอายุแปดสิบ ในขณะเดียวกันในระหว่างการทำพัธกิจของ จอห์น เวสลีย์ มีหกคนที่ดำรงตำแหน่งเป็ยอาร์คบิชอปแห่งอังกฤษ นี่คือชื่อของพวกเขาตามลำดับ

จอห์นพอตเตอร์ (1737-1747)
โทมัสแฮร์ริ่ง (1747-1757)
แมทธิวฮัตตัน (1757-1758)
โทมัส เซคเกอร์ (1758-1768)
เฟรเดอริ คอร์วอลลี่ (1768-1783)
จอห์นมัวร์ (1783-1805)

ผมคิดว่าคงไม่มีใครสงสัย แต่ว่านักประวัติศาสตร์ชาวอังกฤษสามารถตั้งชื่อทั้งหกคนนี้อย่างที่ทราบว่า "ผู้ดีสุดยอด" แน่นอนคริสเตียนเกือบทุกคนรู้จักชื่อของ จอห์น เวสลีย์ และคนส่วนใหญ่รู้จักพี่ชายของเขาที่ชื่อ ชาร์ลส์ ซึ่งเป็นผู้เขียนบทเพลงที่ร้องกันเกือบทุกคริสตจักรและทุกคณะในโลก แต่ไวท์ฟิลด์และสองพี่น้องเวสเลย์เป็นเพียงบุคคลที่ไร้นาม ตอนที่พวกเขารวมตัวกันกับคนอื่น ๆ เพื่ออธิษฐานขอเทพระวิญญาณบริสุทธิ์ลงมาในวันส่งท้ายปีเก่าปี 1738 เพียงแค่ก่อนหน้าการฟื้นฟูใหญ่ครั้งแรกในโลกที่พูดภาษาอังกฤษ

“แต่พระเจ้าได้ทรงเลือกสิ่งที่โลกถือว่าโง่เขลา เพื่อจะทำให้คนมีปัญญาอับอาย และพระเจ้าได้ทรงเลือกสิ่งที่โลกถือว่าอ่อนแอ เพื่อทำให้คนที่แข็งแรงอับอาย” (1 โครินธ์ 1:27)

พระธรรมข้อนี้ยังอธิบายว่าทำไมคนหนุ่มสาวมักจะเป็นผู้นำในการฟื้นฟู เพราะคนหนุ่มสาวในคริสตจักรคือพวกแรกที่รับรู้ถึงการเคลื่อนไหวของพระวิญญาณของพระเจ้าในหมู่พวกเขา และคนหนุ่มสาวคือพวกที่หิวกระหายความชอบธรรมและการฟื้นฟูในระยะยาวและความจริงของพระเจ้า

การฟื้นฟูแรกที่ผมเห็นในคริสตจักรจีนแบ๊บติสเริ่มต้นในหมู่คนหนุ่มสาว ในช่วงระหว่างการเข้าค่ายภาคฤดูร้อนที่ภูเขา ขณะที่พวกเขารวมตัวกันเพื่ออธิษฐานในเช้าวันหนึ่งที่ค่าย พระวิญญาณของพระเจ้าเสด็จลงมาเหนือพวกเขา ฤทธิ์อำนาจแห่งการฟื้นฟูนั้นมีต่อเนื่องไปจนถึงในวันอาทิตย์และในคืนนั้น ผมยังจำคำอธิษฐานของคนหนุ่มสาวในคืนวันนั้นได้ดี น้ำตาแห่งการกลับใจใหม่ การอธิษฐานและการสารภาพและพระเจ้าทรงประทับอยู่ใกล้การประชุมครั้งนั้น

ผมยังเห็นการฟื้นฟูที่คริสตจักรแบ๊บติสในรัฐเวอร์จิเนีย มีหญิงสาวสามคนลุกขึ้นไปร้องเพลง พวกเธอร้องไห้ คนในคริสตจักรทั้งหมดต่างก็รู้สึกถึงการฟื้นฟูนี้ - "พระเจ้าลงมาในหมู่พวกเรา"

"ที่เฮอน์ฮัทในแซกโซนีการฟื้นฟูเกิดขึ้นท่ามกลางคนหนุ่มสาวของวันที่ 13 สิงหาคม" ในวันที่ 29 สิงหาคม "ชั่วสิบโมงตอนกลางคืนไปจนถึงเช้าของวันต่อมา สามารถเป็นพยานได้ว่าหญิงสาวที่มาจากเฮอน์ฮัท ใช้เวลาเหล่านี้ [สาม] ชั่วโมงอธิษฐานร้องเพลงและร้องไห้ พวกเด็กชายก็เช่นเดียวกันอธิษฐานที่อื่น จิตวิญญาณแห่งการอธิษฐานในเวลานั้นได้ทำให้ทรงเทพระวิญญาณลงมาบนเด็กๆอย่างมีพลังอำนาจ อย่างไม่อาจอธิบายได้" (John Greenfield, Power From On High, World Wide Revival Prayer Movement, 1950, p. 31)

ในเดือนตุลาคม 1973 การฟื้นฟูเกิดขึ้นท่ามกลางนักเรียนในโรงเรียนมัธยมที่ บารีโอ เด็กผู้ชายสองคนเริ่มอธิษฐานด้วยกัน และอีกไม่นานทั้งโรงเรียนไม่เห็นด้วย และตรงกันข้ามพระวิญญาณทรงทำงานและนำมาซึ่งการกลับใจใหม่ (Shirley Lees, Drunk Before Dawn, Overseas Missionary Fellowship, 1979, pp. 185-189)

ไบรอัน เอช เอ็ดเวิร์ด กล่าวว่า "อะไรคือสิ่งที่สำคัญในช่วงเวลาของการฟื้นฟู ... ความท้าทายของคนหนุ่มสาวและการเปลี่ยนแปลงใหม่ พวกเขามีความปรารถนาที่จะอธิษฐานเพื่อการฟื้นฟูและก็เริ่มต้นเกิดขึ้น ... นี่เป็นลักษณะการรายงานที่ดีเกี่ยวกับการฟื้นฟู แต่กลับได้รับความสนใจน้อยเกินไปจากผู้ที่วิเคราะห์ปัจจัยความจริงของการฟื้นฟู " (Brian H. Edwards, Revival! A People Saturated With God, Evangelical Press, 1991 edition, p. 165)

“แต่พระเจ้าได้ทรงเลือกสิ่งที่โลกถือว่าโง่เขลา เพื่อจะทำให้คนมีปัญญาอับอาย และพระเจ้าได้ทรงเลือกสิ่งที่โลกถือว่าอ่อนแอ เพื่อทำให้คนที่แข็งแรงอับอาย” (1 โครินธ์ 1:27)

เอมี่ คาร์ไมเคิล อธิบายถึงการเทพระวิญญาณบริสุทธิ์ลงมาในประเทศอินเดียดังต่อไปนี้

ตอนนั้นใกล้การนมัสการในช่วงเช้า มีเหตุการณ์เกิดขึ้น คนที่กำลังพูดถูกบังคับให้หยุด เหมือนทำให้รู้อยู่ภายใน แต่กลับไม่สามารถที่จะอธิษฐานได้ ที่โรงเรียนนั่น มีเด็กผู้ชายคนหนึ่งเริ่มพยายามที่จะอธิษฐาน แต่เขากลับต้องร้องไห้ [น้ำตาไหล] จากนั้นคนอื่นๆก็ร้องไห้ตาม และแล้วก็ทั้งหมด โดยเริ่มต้นจากผู้นำก่อน จากนั้นพวกคนหนุ่มสาวต่างก็เริ่มร้องไห้อย่างขมขื่นและอธิษฐานขอการให้อภัย แล้วก็แพร่กระจายไปยังพวกผู้หญิง มันน่าตกใจและแปลกใจl – ผมไม่สามารถใช้คำอื่น ๆที่ดีไปกว่านี้อีก – ไม่สามารถคิดคำอื่นอีก จากนั้นไม่นานมีคนจำนวนมากมายล้มลงไปกองอยู่บนพื้น ร้องไห้หาพระเจ้า ไม่ว่าจะเป็นเด็กผู้ชายเด็กผู้หญิง พวกผู้ชายและผู้หญิงต่างก็จำอะไรไม่ได่ [ลืม] คนอื่น ๆ ไปหมด เสียงดังเหมือนคลื่นและลมแรงพัดต้นไม้ ... ตอนแรกเคลื่อนไหวท่ามกลางเด็กผู้ชายก่อน เด็กนักเรียนผู้ชาย ลูกๆของเราเอง ... และสมาชิกที่เป็นอนุชนในคริสตจักร เจ็ดเดือนต่อมาเธอได้รายงานว่า "เกือบ [คนหนุ่มสาว] ทั้งหมดของเราได้ออกไปและกลับใจใหม่" (J. Edwin Orr, Ph.D., The Flaming Tongue, Moody Press, 1973, pp. 18, 19)

ขอให้สังเกตคำว่า "ตอนแรกเคลื่อนไหวท่ามกลางเด็กผู้ชายก่อน เด็กนักเรียนผู้ชาย ลูกๆของเราเอง ... และสมาชิกที่เป็นอนุชนบางคนในคริสตจักร” นั่นคือการฟื้นฟูที่มักเกิดขึ่นในคริสตจักร – เหมือนอย่างคนหนุ่มสาวรอคอยนานถึงกาเสด็จรลงมาของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในงานฟื้นฟู มีการฟื้นฟูอยู่สามครั้งที่ผมสามารถเห็นด้วยตาของตัวเอง คือตอนที่พระเจ้าทรงเทพระวิญญาณของพระองค์ลงมาให้คนหนุ่มสาวในเมือง ลอสแอนเจลิส ในซานฟรานซิและในเวอร์จิเนียบีช

ตอนนี้ในคืนนี้ ผมพูดกับคนหนุ่มสาวของเราที่นี่ เราจะเอาบทเทศนานี้ถ่ายเอกสารให้คุณเพื่อนำกลับไปอ่านที่บ้าน ผมหวังว่าคุณจะอ่านมันหลายๆครั้ง และผมหวังว่าคุณจะอธิษฐานขอสิ่งที่อยู่ในบทเทศนานี้เกิดขึ้นในชีวิตของคุณและเกิดขึ้นในคริสตจักรของเรา

คุณอาจคิดว่า "ดร ไฮเมอร์ส คงจะไม่ยอมให้สิ่งเช่นนี้เกิดขึ้นในคริสตจักรของเรา "แต่คุณผิด ผมเชื่อว่าผมรู้มากพอเกี่ยวกับการฟื้นฟูที่ไม่ดับพระวิญญาณ ถ้าพระเจ้าทรงเมตตาและเสด็จลงมาที่การฟื้นฟู! คุณสามารถรวมคำพูดของผู้เผยพระวจนะอิสยาห์ในคำอธิษฐานของคุณ

“โอ ถ้าหากว่าพระองค์จะทรงแหวกฟ้าสวรรค์เสด็จลงมาได้หนอ เพื่อภูเขาจะไหลลงมาต่อพระพักตร์พระองค์” (อิสยาห์ 64:1)

ดร. ชานกรุณานำเราอธิษฐาน

(จบการเทศนา)
คุณสามารถอ่านบทเทศนาของ ดร. ฮิวเมอร์ ได้ในแต่ละอาทิตย์ทางอินเตอร์เนทได้ที่
www.realconversion.com. (กดที่นี่) “บทเทศนาในภาษาไทย”

คุณสามารถส่งอีเมล์ถึง ดร. ไฮเมอร์ส ที่ rlhymersjr@sbcglobal.net
– หรือเขียนจดหมายส่งไปให้เขาที่ P.O. Box 15308, Los Angeles, CA 90015.
หรือโทรศัพท์ถึงเขาที (818) 352-0452.

หมายเหตุ: ต้นฉบับของบทเทศนาเหล่านี้ไม่ได้สงวนลิขสิทธิ์
คุณสามารถนำไปใช้โดยที่ไม่ต้องขออนุญาตจาก ดร. ไฮเมอร์ส
แต่อย่างไรก็ตามข้อความทั้งหมดของ ดร. ไฮเมอร์ส
ที่อยู่ในรูปวิดีโอนั้นมีการสงวนลิขสิทธิ์และต้องได้รับการอนุญาตเท่านั้นถึงจะสามารถนำมาใช้ได้

อ่านพระคัมภีร์ก่อนเทศนาโดย นาย อาเบล พรูมโหมมี: 1 โครินธ์ 1:26-31.
ร้องเพลงเดี่ยวพิเศษโดย มร. เบนจามิน คินเคด กริฟฟิท์:
“Teach Me to Pray” (Albert S. Reitz, 1879-1966).