Print Sermon

เป้าหมายของเว็ปไซต์นี้คือจัดเตรียมบทเทศนาที่เขียนจากต้นฉบับ และในรูปแบบวีดีโอให้กับผู้รับใช้ และมิชชั่นนารีที่ไปรับใช้ในต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศในโลกที่สามที่ขาดแคลนพระคริสตธรรมหรือโรงเรียนอบรมพระคัมภีร์

ต้นฉบับของบทเทศนาเหล่านี้ถูกอ่านในคอมพิวเตอร์ประมาณ 1,500,000 เครื่อง และมากกว่า 221 ประเทศในแต่ละปี โปรดไปอ่านได้ที www.sermonsfortheworld.com ในขณะเดียวกันมีหลายร้อยคนดูวิดีโอบน YouTube และหลังจากนั้นคนเหล่านั้นก็จะย้ายจากดู YouTube มาอ่านเว็บไซต์ของเรา YouTube นำคนมาที่เว็บไซต์ของเรา บทเทศนาต้นฉบับนี้ถูกแปลออกเป็น 46 ภาษา และมีคนอ่านในคอมพิวเตอร์มากถึง 120,000 ทุก ๆ เดือน บทเทศนาต้นฉบับนี้ไม่สงวนลิขสิทธิ์ อนุญาตให้นักเทศนาสามารถนำไปใช้เทศน์ได้ นอกจากนี้ยังมีในรูปแบบวีดีโอเป็นร้อย ๆ ซึ่งเทศน์โดย ดร. ไฮเมอร์ส และนักศึกษาของท่าน บทเทศนาต้นฉบับไม่สงวน แต่จะสงวนเฉพาะในรูปแบบวีดีโอ กรุณาคลิกที่นี่เพื่อเรียนรู้ว่าจะสนับสนุนการประกาศพระกิตติคุณไปทั่วโลกได้อย่างไร

ตอนที่คุณเขียนหนังสือไปให้ ดร. ไฮเมอร์ส บอกท่านเสมอว่าคุณเขียนมาจากประเทศอะไร หรือท่านไม่ได้ตอบคุณ อีเมล์ของ ดร. ไฮเมอร์ส คือ rlhymersjr@sbcglobal.net




หลังจากนั้นพวกเขาจะอดอาหาร

(บทเทศนาครั้งที่ 4 ในงานฟื้นฟู)
THEN SHALL THEY FAST
(SERMON NUMBER 4 ON REVIVAL)
(Thai)

โดย ดร. อาร์ เอล์ ไฮเมอร์ส จูเนียร์
by Dr. R. L. Hymers, Jr.

เทศนาในตอนเย็นวันของพระเป็นเจ้าที่ 10 เดือนสิงหาคม ค.ศ. 2014 ณ
คริสตจักรแบ๊บติสต์แห่งนครลอสแอนเจลิส
A sermon preached at the Baptist Tabernacle of Los Angeles
Lord’s Day Evening, August 10, 2014

“แต่วันนั้นจะมาถึงเมื่อเจ้าบ่าวจะต้องจากสหายไป ในวันนั้นสหายจะถืออดอาหาร” (ลูกา 5:35)


พระเยซูเรียกมัทธิวให้เป็นสาวกของพระองค์ เขาจึงเตรียมงานเลี้ยงครั้งใหญ่อยู่ในบ้านของเขา “มีคนเก็บภาษีและคนบาปอื่น ๆ หลายคนเข้ามาเอนกายลงร่วมสำรับกับพระองค์และกับพวกสาวกของพระองค์” (มัทธิว 9:10) ตอนที่พวกฟาริสีเห็นดังนั้น จึงถามพระองค์ถึงการที่พระองค์ร่วมรับประทานอาหารกับคนบาป พระเยซูตรัสว่า “ด้วยว่าเรามิได้มาเพื่อจะเรียกคนชอบธรรม แต่มาเรียกคนบาปให้กลับใจเสียใหม่” (มัทธิว 9:13) หมายความว่าพระองค์ไม่ได้มาเรียกคนที่คิดว่าตัวเองเป็นคนชอบธรรม แต่มาเรียกผู้ที่คิดว่าตัวเองเป็นคนบาป

สาวกของยอห์นผู้ให้บัพติศมาอยู่ที่งานเลี้ยงได้ถามพระเยซู พวกเขาถามพระองค์ว่าทำไมพวกฟาริสีมักจะอดอาหาร – แต่สาวกของพระเยซูกลับไม่ทำ พระเยซูจึงตอบว่า

“ท่านจะให้สหายของเจ้าบ่าวอดอาหารเมื่อเจ้าบ่าวยังอยู่กับเขากระนั้น หรือแต่วันนั้นจะมาถึงเมื่อเจ้าบ่าวจะต้องจากสหายไป ในวันนั้นสหายจะถืออดอาหาร” (ลูกา 5:34-35)

พระเยซูทรงตรัสว่ายังไม่ถึงเวลาที่สาวกของพระองค์จะต้องอดอาหาร – เพราะว่าพระองค์ยังสถิตอยู่กับพวกเขา พระองค์เรียกตัวเองว่า “เจ้าบ่าว” และเปรียบเทียบกับงานแต่งงานของพวกยิว แต่พระองค์ก็ทรงตรัสว่า “อีกไม่นานพระองค์ก็จะจากพวกเขา” (ลูกา 5:35) พระองค์หมายความว่าจะเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ – หลังจากนั้นพวกสาวกก็จะอดอาหาร

“แต่วันนั้นจะมาถึงเมื่อเจ้าบ่าวจะต้องจากสหายไป ในวันนั้นสหายจะถืออดอาหาร” (ลูกา 5:35)

ตอนนี้ผมอยากให้พวกคุณมองไปที่คำพูดของพระเยซู

“ในวันนั้นสหายจะถืออดอาหาร” (ลูกา 5:35)

ดร. จอห์น อาร์ ไรซ์ กล่าวว่า

เวลาแห่งการทนทุกข์ของพวกเขา คือช่วงที่รอฤทธิ์เดชในฝ่ายวิญญาณ หลังจากที่ [พระเยซู] จากพวกเขาไป หลังจากนั้นก็จะมีการอดอาหาร [คำว่า “และแล้วพวกเขาก็จะอดอาหาร”] นั่นหมายความว่าพวกสาวกจะต้องอดอาหารก่อนวันเพนเทคอส คือหลังจากที่พระเยซูเสด็จสู่สวรรค์ (กิจการ 1:12-14) อาจารย์เปาโลก็อดอาหาร และอธิษฐานขอฤทธิ์อำนาจจากพระวิญญาณ (กิจการ 9:9, 11, 17) ต่อมาบานาบัส เปาโลและนักเทศน์คนอื่นๆต่างก็อดอาหารและอธิษฐานต่อหน้าพระองค์ กิจการ 13:1-3 (John R. Rice, D.D., King of the Jews, Sword of the Lord Publishers, 1980 edition, p. 144)

พระวจนะตำหนิการการอดอาหารที่หยิ่งผยอง แต่ไม่เคยต่อว่าการอดอาหารที่ถ่อมใจ พระวจนะกล่าวถึงพระเยซูอดอาหารในถิ่นทุระกันดาร ตอนที่เริ่มต้นทำพันธกิจ (มัทธิว 4:1,2)

จากพระกิตติคุณทั้งสามเล่ม (มัทธิว มาระโกและลูกา) บันทึกคำพูดของพระเยซูให้เรา "และในวันนั้นพวกเขาก็อดอาหาร" เรายังคงอยู่ "ในวันนั้น" – นั่นคือคำสอนของพระคริสต์ให้เรายุคปัจจุบันนี้ - "ในวันนั้น" นั่นคือเวลาที่เรามีชีวิตอยู่ เจ เวอร์นอน แมคกี้ กล่าวว่า "การอดอาหารทุกวันนี้นั้นมีค่ามาก ... เราต้องคิดว่าการอดอาหารนั้นคือการที่เราอยู่ต่อหน้าพระเจ้า เพราะเราต้องการความเมตตาและความช่วยเหลือจากพระองค์" (J. Vernon McGee, Th.D., Thru the Bible, Thomas Nelson Publishers, 1983, volume IV, p. 53; note on Matthew 9:15)

สเปอร์เจียน กล่าวว่า "การอธิษฐานและการอดอาหารมีพลังอันยิ่งใหญ่" ("ความลับของความล้มเหลว") ผมรู้ว่านั่นเป็นความจริง ในการฟื้นฟูครั้งแรก ผมเห็นว่าคนลืมที่จะรับประทานอาหาร พวกเขาจดจ่ออยู่กับการอธิษฐาน ภายในสามปีมีมากกว่าหลายร้อยคนกลับใจ งานฟื้นฟูครั้งที่สาม ผมเห็นว่าพวกนักเทศน์ถูกบังคับให้อดอาหารและอธิษฐานตลอดทั้งวัน ก่อนที่พระเจ้าจะส่งการฟื้นฟูลงมาในการนมัสการของเย็นวันอาทิตย์ ประมาณ 500 คนกลับใจใหม่คืนนั้นและต่อเนื่องถึงสามเดือน ผมรู้จากประสบการณ์ส่วนตัวว่าที่ สเปอร์เจียน กล่าวว่า "การสวดมนต์และการอดอาหารมีพลังอันยิ่งใหญ่" นั้นถูกต้อง แต่ ดร. ลอยด์ โจนส์กล่าวว่า "เรื่องทั้งหมดนี้ [การอดอาหาร] ดูเหมือนว่าจะถูกลบออกจากชีวิตของเราและออกจากความคิดของคริสเตียนทุกคน" (Studies in the Sermon on the Mount, Eerdmans, 1987, p. 39) จอห์น อาร์ ไรซ์ กล่าวว่า "การอดอาหารเป็นดั่งเช่นศิลปะที่สูญหาย เราสอนน้อยมาก จำเป็นต้องพิจารณา ... ว่าอะไรคือความหมายของการอดอาหาร" (John R. Rice, D.D., Prayer – Asking and Receiving, Sword of the Lord Publishers, 1970 edition, p. 216) นี่คือบางส่วนที่ ดร. ไรซ์ กล่าวถึงการอดอาหาร

1. การอดอาหารหมายถึงการให้พระเจ้าเป็นที่หนึ่ง มีบางครั้งที่เราควรจะหันหลังของเราให้โลกและแสวงหาพระพักต์ของพระเจ้า เวลาดังกล่าวควรจะเป็นช่วงเวลาของการอดอาหารและอธิษฐาน

2. การอดอาหารหมายถึงการมอบใจทั้งหมดให้กับการอธิษฐานและรอคอยพระเจ้า ดังนั้นในขณะที่ใครคนใดคนหนึ่งอดอาหารคือให้พระเจ้ามาเป็นอันดับแรก จดจ่ออยู่กับพระเจ้ามากกว่าอาหาร

3. อดอาหารหมายถึงตั้งมั่นคงอยู่กับการอธิษฐาน อย่าไปคิดว่านี่คือการลงโทษตัวเอง การอดอาหารควรจะมาพร้อมกับการอธิษฐานที่จริงใจ

4. การอดอาหารแสดงว่าคนั้นถ่อมใจและเชื่อว่าพระเจ้าจะตอบคำอธิษฐาน แน่นอนการอดอาหารที่ไม่ถ่อมใจ นั่นคือสาเหตุที่ทำให้หลายคนไม่ได้รับคำตอบ (ibid., pp. 218-220) การอดอาหารอธิษฐานแสดงให้พระเจ้าเห็นว่าเรารอคอยคำตอบจากพระเจ้าอย่างแน่วแน่


ดร. ไรซ์ เขียนยังบางอย่างที่เราได้รับจากพระเจ้าโดยการอดอาหารและอธิษฐาน (ibid., pp. 220-227)

1. การเอาชนะความยากลำบากก็มาจากอดอาหารอธิษฐาน เวลาที่ทุกข์คือเวลาที่ดีที่สุดสำหรับการอธิษฐาน ถ้าเราเผชิญกับความเลวร้าย นั่นคือเวลาที่เหมาะสมสำหรับอดอาหารและอธิษฐาน

2. บางครั้งเราควรมาอธิษฐานค้นหาว่าผิดพลาดตรงไหน อะไรที่เข้าไม่ถึงพระเจ้า

3. การอดอาหารอธิษฐานนำไปสู่ชัยชนะบาป การฟื้นฟูครั้งแรก ผมเห็นพวกอนุชนแสวงหาพระเจ้า และสารภาพบาปต่อกันและกัน งานฟื้นฟูจึงเกิดขึ้น เป็นชัยชนะต่อบาปที่ยิ่งใหญ่ของพวกเขา เหมือนกันที่เราอธิษฐานอดอาหาร

4. การอดอาหารอธิษฐานทำให้เราเข้าใกล้กับผู้อื่น ถ้าคุณอธิษฐานให้คนๆนั้นได้รับความรอด จงอธิษฐานเผื่อและเจาะจงทีละคน ไม่ใช่อธิษฐานแบบทั่วไป เช่น “โอ้ พระเจ้าโปรดช่วยใครบางคนด้วย” อดอาหารอธิษฐานเผื่อโดยออกชื่อ คุณอยากอธิษฐานเผื่อใครบางคนหรือไม่? ถ้างั้งจงอธิษฐานเผื่อใครบางคนจนกว่าพระเจ้าจะตอบคำอธิษฐาน! บทเพลงเก่านี้กล่าวไว้ว่า

คุณอธิษฐานต่อเนื่องจนกว่าจะได้รับคำตอบหรือไม่?
นั่นคือพระพรที่แท้จริงอย่างที่คุณสมควรได้รับ
พระเจ้าทรงรอคอยคุณในสถานที่อธิษฐาน
คุณพบพระเจ้าที่นั่นหรือเปล่า คุณอธิษฐานจนได้รับหรือเปล่า?
คุณอธิษฐานต่อเนื่องจนกว่าจะได้รับคำตอบหรือไม่?
คุณขอในพระนามของพระผู้ช่วยให้รอดหรือไม่?
คุณอธิษฐานต่อเนื่องจนกว่าพระเจ้าตอบคุณหรือไม่?
คุณอธิษฐานจนกว่าจะได้รับคำตอบหรือไม่?
   (“Have You Prayed It Through?” by Rev. William C. Poole, 1875-1949;
      altered by the Pastor)

ผมได้รับการช่วยกู้ครั้งแรกในต้นปี 1960 ผมอ่าน วรสารของ จอห์น เวสเลย์ เกือบทุกวัน เหมือนกับว่าได้อ่านพระธรรมกิจการ บอกถึงการฟื้นฟูที่ยิ่งใหญ่ที่เรียกว่า “การตื่นครั้งยิ่งใหญ่” ตอนนั้นผมยังเป็นหนุ่มอายุแค่ 22 ปี ผมไม่รู้เลยว่าไม่มีการฟื้นฟูอย่างนั้นเป็นเวลาถึงหนึ่งร้อยปี ผมคิดว่า “ถ้าเกิดขึ้นอย่างนั้นในยุคของ เวสเลย์ พระเจ้าก็สามารถที่จะให้เกิด ณ เวลานี้ได้!

ความไม่รู้ของผม ทำให้ผมสงสัยว่าพระเจ้าคงส่งการฟื้นฟูมาที่คริสตจักรจีนที่ผมเป็นสมาชิกอยู่ ผมอดอาหารและอธิษฐานขอให้พระเจ้าทรงส่งการฟื้นฟูมา การอธิษฐานในทุกคืนของวันพุธ อธิษฐานขอการฟื้นฟู ครั้งหนึ่งท่านเมอร์ฟี่ ลุม บอกให้ผมขอพระพรก่อนรับประทานอาหาร ผมยืนขึ้นและอธิษฐานประมาณสิบนาทีเผื่อการฟื้นฟู! หลังจากนั้นผมก็นั่งลงโดยลืมอธิษฐานขอพระพรสำหรับอาหาร! ผมชอบอธิษฐานขอการฟื้นฟูตลอดเวลา! บางคนกล่าวว่า "ไม่เป็นไร เขาเป็นเพียงเด็ก เดี๋ยวก็หยุดไปเอง" แต่เช้าวันหนึ่งที่ค่าย ในขณะที่ผมยังคงนอนหลับอยู่ พระเจ้าทรงตอบผม! ผมไม่มีวันลืมการฟื้นฟูยิ่งใหญ่ที่เขย่าคริสตจักนั่น มีวัยรุ่นชาวจีนหลายร้อยคนเข้ามาและได้รับความรอด

เวลาผ่านมาหลายปีจนผมลืมสิ่งที่ได้อธิษฐาน แต่อยู่มาวันหนึ่ง ดร. ลุม บอกผมว่า "บ๊อบ คุณจำได้คำอธิษฐานขอการฟื้นฟูตลอดเวลาในช่วงต้นปี 1960 หรือไม่?" จากนั้นผมก็จำได้ ดร. ลุม กล่าวว่า "บ๊อบ คุณจำได้ในสิ่งที่คุณขอ!" ตอนที่ผมระลึกได้นั้น ผมถึงกับน้ำตาไหล ผมจำได้ว่า "อธิษฐาน" ขอทรงเทพระวิญญาณของพระเจ้าลงมา!

อีกครั้งหนึ่งมีนักศึกษาหลายคนในวิทยาลัยการได้อธิษฐานในหอพักของผม ขอให้พระเจ้าทรงนำคนที่ไม่เชื่อให้กลับใจใหม่ และทรงขับไล่อาจารย์ที่ไม่เชื่อพระคัมภีร์ออกจากสถาบัน พวกเราหลายคนได้อดอาหารและอธิษฐานขอให้เกิดขึ้น ครั้งสุดท้ายนั้นมีนักศึกษามากกว่า 100 คนเข้ามาอยู่ในห้องของผม นอกจากนี้ยังอยู่ตามทางเดิน หรือฮอลล์และอื่น ๆ ผ่านมาแล้วประมาณ 35 ปี ผมก็ลืมแล้วว่าเราอดอาหารและอธิษฐานขออะไรบ้าง แล้วอยู่มาวันหนึ่งผมพบว่าอาจารย์แนวคิดแบบเสรีนิยมถูกไล่ออกไป – และอาจารย์ใหม่ๆที่เข้ามาต่างก็เชื่อพระคัมภีร์และพวกเขาส่วนใหญ่คือรีฟอร์ม! ชายหนุ่มทั้งหลายที่เข้ามาในห้องของผมอธิษฐานทุกสัปดาห์! และพระเจ้าทรงตอบคำอธิษฐานของเราอย่างเหนือความคาดหมายของเรา!

คุณอธิษฐานต่อเนื่องจนกว่าจะได้รับคำตอบหรือไม่?
คุณขอในพระนามของพระผู้ช่วยให้รอดหรือไม่?
คุณอธิษฐานต่อเนื่องจนกว่าพระเจ้าตอบคุณหรือไม่?
คุณอธิษฐานจนกว่าจะได้รับคำตอบหรือไม่?

ผมรอนานหลายปีเพื่อที่จะพบกับภรรยาคนหนึ่ง ตอนนั้นผมอายุมากกว่าสี่สิบปีแล้ว เท่าที่ผมรู้คือว่าไม่มีใครอยากเป็นภรรยาของศิษยาภิบาล ผมจึงได้แต่อธิษฐานขอภรรยาและถึงขนาดต้องอดอาหารและอธิษฐาน! อยู่มาวันหนึ่งผมมองไปอีกฟากหนึ่งของถนนเห็นลีเอนา ดูเหมือนพระเจ้าตรัสว่า "นั่นคือคนที่เจ้าอธิษฐานขอ" มีบางคนบอกว่า "หวังว่าคุณคงไม่ไปแต่งงานกับเด็กสาวคนนั้น หรือว่า?" แต่ผมก็แต่ง และแล้วเธอก็เป็นภรรยาของศิษยาภิบาลที่สมบูรณ์แบบ - สมบูรณ์แบบทุกอย่าง! ผมอธิษฐานขอ - และพระเจ้าก็ตอบ

ผมจะบอกคุณอีกสามอย่าง ไม่มีใครคิดว่าแม่ของผมจะได้รับการช่วยกู้ ผมเองก็ไม่เคยคิดอย่างนั้น ผมอธิษฐานอยู่เสมอ แต่ก็ดูเหมือนว่าไร้ความหวัง แต่ก็ไม่ยอมแพ้ ผมอธิษฐานและอดอาหารขอให้แม่มากลับใจใหม่ ตอนนี้อายุของแม่ก็ใกล้จะ 80 ปีแล้ว แต่ก็ยังดูเหมือนว่าไม่มีท่าทีจะมารับความรอด ลีเอนาและผมไปที่นิวยอร์ก ในขณะที่ผมกำลังเทศนาอยู่นั้น ผมจำได้แม่นยำว่าผมเป็นอย่างไร ผมได้อดอาหารอธิษฐานเผื่อในคืนวันนั้น หนึ่งในนั้นคืออธิษฐานเผื่อแม่ให้ได้รับความรอด คืนนั้นพระเจ้าก็ตรัสให้กับผมว่า “แม่ของคุณจะรอดเดี๋ยวนี้” ผมถึงกับน้ำตาไหล ผมโทรศัพท์หา ดร. คาเกน ที่เมืองลอสแอนเจลิส ผมบอกว่า “ด็อกเตอร์ ขอให้ไปพาแม่มารับเชื่อเดี๋ยวนี้?” ท่านบอกว่า “โอ้ ผมทำอย่างนั้นไม่ได้!” – ที่พูดเช่นนั้น – เพราะว่าแม่เคยโกรธท่านมาก่อนหน้านั้นตอนที่ท่านไปประกาศให้แม่ ผมบอกว่า “ด็อกเตอร์ จงไปเดี่ยวนี้ พระเจ้าพึ่งตรัสให้กับผมว่าท่านจะได้รับการช่วยกู้ในเวลานี้” พยายามจะเล่าให้สั้นที่สุด ขณะนั้นท่านจึงขับรถตรงไปที่บ้านและนำแม่มารับเชื่อแบบง่ายดาย! ลูกของเรา เราบอกเจ้าว่าชีวิตของเธอจะเปลี่ยนโดยสิ้นเชิง! ท่านไปที่คริสตจักรกับผมทุกคืน จนท่านเสียชีวิต! ผมอธิษฐานเผื่อแม่มาตลอด! โดยพระคุณของพระเจ้า พระองค์ก็ทรงตอบคำอธิษฐาน!

เหลืออีกอย่างหนึ่ง ทุกอย่างที่เกิดขึ้นนี้เป็นเพราะว่าอธิษฐานและอดอาหาร ใช่การอดอาหารคือจุดที่สำคัญที่สุด! ตอนที่ภรรยาของผมกำลังตั้งท้อง เป็นอะไรที่แย่มาก เพราะไปเจอแพทย์ที่แย่คนหนึ่ง สุดท้ายแพทย์ดคนนี้ถูกยึดใบอนุญาต เราไปหาแพทย์คนนี้เพื่อทำอัลตราซาวนด์ดูทารกในท้อง หลังอัลตราซาวนด์แพทย์คนนี้มาพบเราว่ารู้สึกเศร้าและเสียใจเพราะผลที่ออกมาพบว่าทารกอาจพิการ แต่เขาจะนำภาพและผลตรวจครั้งสุดท้ายบอกเราอีกครั้งในวันจันทร์ วันศุกร์นั้นเราก็กลับบ้านด้วยความรู้สึกที่กลัวและกังวล แต่ในเหตุการณ์เช่นนี้ผมต้องอดอาหารและอธิษฐานขออย่าให้เป็นไปตามนั้น ในคืนนั้นพระเจ้ามาหาผมในความฝัน นี่คือความจริงโดยแน่แท้ บอกภรรยาของผมว่า! พระเจ้าเสด็จมาหาผมในความฝันและตรัสว่า "โรเบิร์ตภรรยาของเจ้ากำลังจะมีลูกฝาแฝด” – นั่นทำให้แพทย์คนนั้นตกใจ" เช้าวันใหม่ในขณะที่ผมตื่นขึ้นมา ผมบอกลีเอนาว่า “อย่ากังวลเลย" คุณกำลังจะมีฝาแฝด" วันจันทร์เรากลับไปหาแพทย์คนนั้นท่านบอกว่านั่งลงก่อน ผมพูดว่า "ผมไม่ต้องการที่จะนั่ง เธอกำลังจะมีลูกแฝด" เขากล่าว" คุณรู้ได้อย่างไร? "ผมบอกว่า "ในคืนวันศุกร์ที่ผ่านมาพระเจ้าตรัสให้ผมในความฝัน" ดังนั้นลูกน้อยทั้งสองนี้คือพระเจ้าประทานให้เรา และจะมีสุขภาพดี พระเจ้าทรงตอบในคำอธิษฐาน

นี่คือจุดสุดท้าย ผมยังมีอีกมาก แต่เวลาเหลือเฉพาะให้จุดนี้ คืนสุดท้ายของการประชุมที่คริสตจักรหนึ่ง ตอนนั้นมีนักเทศน์ที่มีชื่อเสียงหลายคนอยู่ที่นั่น แต่ศิษยาภิบาลที่คริสตจักรนั้นบอกให้ผมเทศนาในคืนสุดท้าย แต่แล้วก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งมาบอกผมว่า “ไม่ว่าคุณจะเทศน์อะไรก็ตาม จงอย่าเทศน์แบบการประกาศ เพราะศิษยาภิบาลเทศนาประกาศทุกวันอาทิตย์อยู่แล้ว นั่นหมายความว่าทุกคนที่มาในค่ำคืนนี้ต่างได้รับการช่วยกู้หมดแล้ว ไม่ว่าอะไรก็ตาม ในคืนนี้จงอย่าเทศนาเชื้อเชิญให้มารับความรอด!”

ผมกลับไปที่โรงแรมจึงบอกให้เธอพาลูกๆไปที่อื่น ผมจึงใช้เวลาในบ่ายวันนั้นอธิษฐานตามลำพัง ผมจึงเตีรยมบทเทศนาประกาศแบบง่ายๆ ผมคุกเข้าลงและเหงื่อตก มารซาตานมาบอกผมว่า ผมกำลังจะกลายเป็นคนงี่เง่าท่ามกลางศิษยาภิบาลที่มีชื่อเสียงเหล่านั้น ผมลุกๆนั่งๆ จะอดอาหารหรือไม่ ผมพยายามเตรียมคำเทศนาในหัวข้ออื่น แต่กลับคิดไม่ออก ดูเหมือนว่าผมต้องเทศนาแบบประกาศ ผมจึงอดอาหารอธิษฐานขอสักสองถึงสามคนให้ลุกออกมา “ข้างหน้า” ผมขอว่า “โปรดอย่าให้ผมอับอายขายหน้าต่อหน้าผู้รับใช้ที่มีชื่อเสียงเหล่านั้น!” ดูเหมือนพระเจ้าตรัสว่า “เจ้าเทศนาให้พวกเขา หรือให้เรา?” ผมบอกว่า “พระเจ้า ข้าฯจะเทศนาให้พระองค์ ไม่ใช่คนเหล่านั้น ข้าฯไม่สนใจว่าจะทำตัวให้อับอายอย่างไร ข้าฯพระองค์จะเทศน์เพื่อพระองค์เท่านั้น”

ทันใดนั้นภรรยาและลูกๆก็กลับเข้ามา ผมเองก็ยังกังวลถึงการที่จะไปที่คริสตจักร ผมกังวลและเหงื่อตกอย่างที่บทเพลงนมัสการที่ร้องผ่านไป ในขณะที่ศิษยาภิบาลแนะนำผมให้ที่ประชุมเสร็จ ทันใดนั้นผมก็รู้สึกดีขึ้น เหมือนอยู่ที่คริสตจักรของผม! ผมต้องบังคับตัวเองให้เทศนาตามนั้น

จากเรื่องยาวแต่เล่าให้สั้น ประมาณ 75 คนในคืนนั้นได้รับความรอด รวมถึงลูกชายของศิษยาภิบาล – ผู้ที่กำลังจะเป็นนักเทศน์ – นอกเหนือนั้นก็มีชายชราคนหนึ่ง เขาต้องคลานออกมาข้างหน้าและร้องว่า “ฉันหลงหาย! “ฉันหลงหาย! “ฉันหลงหาย! ในขณะเดียวกันผู้หญิงสามคนที่ออกมานำร้องเพลงต่างร้องไห้ว่า เราหลงหาย ถึงแม้การนมัสการครั้งนั้นล่วงเลยไปจนที่ 11 โมงก็ตาม แต่ไม่มีใครลุกออกจากที่นั่งเลย พวกเขารู้สึกว่าครั้งนี้ผิดปกติทั่วไป ลูกชายของ ดร. เลน ไพสเลย์ บอกภรรยาของผมและลูกๆว่า “ผมไม่เคยเห็นอะไรเช่นนี้มาก่อน” เขาคือลูกชายของนักเทศน์ระดับโลก การฟื้นฟูจึงได้เข้ามาสู่คริสตจักรนั้น และในไม่กี่อาทิตย์ต่อมามีคนมากกว่า 500 คนเข้ามาร่วมที่คริสตจักรนั่น

ซาตานเข้าสิงชายหนุ่มคนนั้น และทำให้เขาบอกว่า “ไม่ว่าอะไรก็ตาม จงอย่าเทศนาแบบประกาศเชื้อเชิญ” แต่พระเจ้าทรงยิ่งใหญ่กว่านั้น พระองค์ได้ตอบคำอธิษฐานของผมในบ่ายวันนั้น ตามที่ได้อดอาหารแสวงหาพระคำของพระเจ้า

เพื่อนที่รัก เราสามารถมีการฟื้นฟู และเป็นไปได้ พระเจ้าสามารถทำให้เกิดขึ้นภายในเวลาพริบตาเดียว ในขณะที่เป็นปีเราไม่สามารถทำได้! จงเอาบทเทศนานี้กลับไปที่บ้าน! อ่านหลายรอบก่อนที่จะถึงอาทิตย์หน้า แล้วจะเพิ่มพูนความเชื่อของท่าน! กรุณามาร่วมอดอาหารอธิษฐานกับเราในวันเสาร์หน้า อธิษฐานและอดอาหารขอพระเจ้าสถิตท่ามกลางพวกเรา และยกย่องพระนามของพระองค์!

พระเยซูคริสต์ทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนเพื่อชดใช้บาปของคุณ! พระโลหิตของพระองค์ที่หลั่งลงบนไม้กางเขาจะชำระบาปของคุณ! พระองค์เป็นขึ้นมาจากความตายเพื่อประทานชีวิตนิรันดร์ให้คุณ! จงวางใจในพระองค์โดยทางความเชื่อ แล้วพระองค์จะช่วยคุณให้รอด – ตลอดไปเป็นนิด! อาเมน

(จบการเทศนา)
คุณสามารถอ่านบทเทศนาของ ดร. ฮิวเมอร์ ได้ในแต่ละอาทิตย์ทางอินเตอร์เนทได้ที่
www.realconversion.com. (กดที่นี่) “บทเทศนาในภาษาไทย”

คุณสามารถส่งอีเมล์ถึง ดร. ไฮเมอร์ส ที่ rlhymersjr@sbcglobal.net
– หรือเขียนจดหมายส่งไปให้เขาที่ P.O. Box 15308, Los Angeles, CA 90015.
หรือโทรศัพท์ถึงเขาที (818) 352-0452.

หมายเหตุ: ต้นฉบับของบทเทศนาเหล่านี้ไม่ได้สงวนลิขสิทธิ์
คุณสามารถนำไปใช้โดยที่ไม่ต้องขออนุญาตจาก ดร. ไฮเมอร์ส
แต่อย่างไรก็ตามข้อความทั้งหมดของ ดร. ไฮเมอร์ส
ที่อยู่ในรูปวิดีโอนั้นมีการสงวนลิขสิทธิ์และต้องได้รับการอนุญาตเท่านั้นถึงจะสามารถนำมาใช้ได้

อ่านพระคัมภีร์ก่อนเทศนาโดย นาย อาเบล พรูมโหมมี: มัทธิว 9:10-15
ร้องเพลงเดี่ยวพิเศษโดย มร. เบนจามิน คินเคด กริฟฟิท์:
     “Have You Prayed It Through?” (by Rev. William C. Poole, 1875-1949; altered by the Pastor).