Print Sermon

เป้าหมายของเว็ปไซต์นี้คือจัดเตรียมบทเทศนาที่เขียนจากต้นฉบับ และในรูปแบบวีดีโอให้กับผู้รับใช้ และมิชชั่นนารีที่ไปรับใช้ในต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศในโลกที่สามที่ขาดแคลนพระคริสตธรรมหรือโรงเรียนอบรมพระคัมภีร์

ต้นฉบับของบทเทศนาเหล่านี้ถูกอ่านในคอมพิวเตอร์ประมาณ 1,500,000 เครื่อง และมากกว่า 221 ประเทศในแต่ละปี โปรดไปอ่านได้ที www.sermonsfortheworld.com ในขณะเดียวกันมีหลายร้อยคนดูวิดีโอบน YouTube และหลังจากนั้นคนเหล่านั้นก็จะย้ายจากดู YouTube มาอ่านเว็บไซต์ของเรา YouTube นำคนมาที่เว็บไซต์ของเรา บทเทศนาต้นฉบับนี้ถูกแปลออกเป็น 46 ภาษา และมีคนอ่านในคอมพิวเตอร์มากถึง 120,000 ทุก ๆ เดือน บทเทศนาต้นฉบับนี้ไม่สงวนลิขสิทธิ์ อนุญาตให้นักเทศนาสามารถนำไปใช้เทศน์ได้ นอกจากนี้ยังมีในรูปแบบวีดีโอเป็นร้อย ๆ ซึ่งเทศน์โดย ดร. ไฮเมอร์ส และนักศึกษาของท่าน บทเทศนาต้นฉบับไม่สงวน แต่จะสงวนเฉพาะในรูปแบบวีดีโอ กรุณาคลิกที่นี่เพื่อเรียนรู้ว่าจะสนับสนุนการประกาศพระกิตติคุณไปทั่วโลกได้อย่างไร

ตอนที่คุณเขียนหนังสือไปให้ ดร. ไฮเมอร์ส บอกท่านเสมอว่าคุณเขียนมาจากประเทศอะไร หรือท่านไม่ได้ตอบคุณ อีเมล์ของ ดร. ไฮเมอร์ส คือ rlhymersjr@sbcglobal.net




ผู้หญิงคนที่อยู่ท่ามกลางฝูงชน

THE WOMAN IN THE CROWD
(Thai)

โดย ดร. อาร์ เอล์ ไฮเมอร์ส จูเนียร์
by Dr. R. L. Hymers, Jr.

เทศนาในตอนเย็นวันของพระเป็นเจ้าที่ 2 เดือนมีนาคม ค.ศ. 2014 ณ
คริสตจักรแบ๊บติสต์แห่งนครลอสแอนเจลิส
A sermon preached at the Baptist Tabernacle of Los Angeles
Lord’s Day Morning, March 2, 2014

“พระองค์จึงตรัสแก่ผู้หญิงนั้นว่า “ลูกสาวเอ๋ย ที่เจ้าหายโรคนั้นก็เพราะเจ้าเชื่อ จงไปเป็นสุขและหายโรคนี้เถิด” (มาระโก 5:34)


พระเยซูทรงขับไลผีออกมาจากคนบ้าที่อาศัยอยู่ทางด้านตะวันออกเฉียงใต้ของทะเลกาลิลี ผู้คนบอกให้พระเยซูหนีออกจากที่นั่น พระองค์ก็ไม่เคยอยู่ถ้าพระองค์มีพระประสงค์ไม่อยากอยู่ พระองค์จึงจากพวกเขาไป และข้ามทะเลสาบกลับไปยังฝั่งตะวันตก ทันใดนั้นก็มีชายคนหนึ่งฝ่าฝูงชนมาก้มกราบที่เท้าของพระองค์ และบอกว่าลูกสาวตัวน้อยของเขากำลังจะตาย ขอพระองค์ให้ช่วยเธอด้วย เขาจึงขอร้องให้พระเยซูไปกับเขาเพื่อไปวางพระหัตถ์ลงบนเธอ "เพื่อที่เธอจะหาย... และมีชีวิตอยู่" พระเยซูทรงเสด็จไปกับผู้ชายคนนั้นและฝูงชนก็แย่งเบียดเสียดติดตามพระองค์ไปด้วย

ในท่ามกลางฝูงชนเหล่านั้นมีผู้หญิงที่ป่วยด้วยอาการตกเลือดมาเป็นเวลาสิบสองปี เธอไปรับการรักษาจากหมอมาแล้วมากมายและใช้เงินทั้งหมดไปกับค่ารักษา แต่อาการของกลับแย่ลง เธอได้ยินว่าพระเยซูทรงรักษาคน เธอจึงฝ่าฝูงชนมาที่พระเยซูและได้สัมผัสชายเสื้อคลุมของพระองค์ ในทันใดนั้นอาการเลือกตกของเธอก็หยุดทันทีร่างกายของเธอได้รับการรักษา พระเยซูตรัสว่า "ใครถูกต้องเสื้อของเรา?" พวกสาวกบอกว่าคนมากมายได้ถูกต้องพระองค์

“ฝ่ายผู้หญิงนั้นก็กลัวจนตัวสั่น เพราะรู้เรื่องที่เป็นแก่ตัวนั้น จึงมากราบลงทูลแก่พระองค์ตามจริงทั้งสิ้น” (มาระโก 5:33)

พระเยซูบอกเธอว่า “ลูกสาวเอ๋ย ที่เจ้าหายโรคนั้นก็เพราะเจ้าเชื่อ”

การรักษาทั้งหมดของพระเยซูนั้นสามารถยืนยันให้เราว่าพระองค์ยังทรงสามารถรักษาจิตวิญญาณของเราให้กลับใจใหม่ได้ หากคุณยังไม่ได้รับความรอด ผมอยากให้คุณตั้งใจฟังเรื่องของผู้หญิงคนนี้ที่เธอได้รับการรักษาและกลับใจใหม่ ผมอยากชี้ให้เราเห็นถึงความสำคัญสี่อย่างเกี่ยวกับการกลับใจใหม่จากผู้หญิงคนนี้ พระเจ้าอาจจะใช้ในทางนี้ให้คุณกลับใจมาหาพระองค์ก็เป็นได้ – ถ้าคุณฟังอย่างระมัดระวัง!

I. ประการแรก เธอต้องการได้รับการรักษาจริงๆ

เธอไม่ได้หลอกลวง คนที่พยายามหลอกว่าเป็นคนที่มีความเชื่อที่เข้มแข้งและรอดแล้ว เป็นเพียงแค่ “การหลอกตัวเอง" นั่นคือวิธีของพวกอีแวนเจลิคอล์สมัยก่อนทำกันคือเรียกให้คนกลับใจใหม่แบบง่ายๆ ถามคำถามง่ายและโง่ๆ “ไร้ค่า" พวกเขาเป็นเหมือนคนที่ถามพระเยซูว่า “พระองค์เจ้าข้า คนที่รอดนั้นน้อยหรือ?” (ลูกา 13:23) เป็นคำถามที่ไร้สาระ - ไม่สำคัญเลย เขาถามไม่ใช่เพราะว่าอยากรู้จริงๆ แต่ความจริงนั้นไม่สำคัญอะไรต่อเขาเลย เขาเป็นเพียง "คนหลอกตัวเอง"

มีหลายคนที่เป็นเช่นนั้นมาหาเราที่ห้องอธิษฐาน พวกเขาถามคำถามสองสามข้อ พวกเขาก็คุยเล็ก น้อย แต่พวกเขาไม่ได้แสวงหาความรอดอย่างจริงจัง คุณสามารถบอกได้เลยว่าพวกเขาไม่ตั้งใจ เพราะหลังจากพวกเขาออกจากห้องไปก็หัวเราะเฮฮาไม่ตั้งใจที่จะรับความรอดจริงๆ พวกเขาหลอกกันไปวันๆ พวกเขาเป็นเพียง "คนหลอกลวง" นั่นคือเหตุผลที่พระคัมภีร์เรียกคนเช่นนี้ว่า

“ถึงจะเรียนกันอยู่เสมอ แต่ก็ไม่อาจเรียนรู้ถึงความจริงเลย” (2 ทิโมธี 3:7)

พวกเขาไม่สามารถพบกับพระเยซูคริสต์เพราะไม่ได้แสวงหาพระองค์อย่างจริงใจ พวกเขาไม่รัก ไม่อดทน ไม่มีความกระตือรือล้นแสวงหาพระคริสต์ พวกเขาไม่ตื่นเต้น พวกเขาไม่กระตือรือร้นที่จะหาพระคริสต์ พวกเขาเป็นเพียงเป็นพวก "หลอกลวง" เป็นพวก “ถึงจะเรียนกันอยู่เสมอ แต่ก็ไม่อาจเรียนรู้ถึงความจริงเลย" ไม่กี่นาทีหลังจากนั้นคุณจะสังเกตุเห็นว่าพวกเขาไม่ได้แสวงหาพระคริสต์อย่างจริงๆ พวกเขาเป็นคนหลอกลวงไปมา พวกเขาเป็นเพียง "คนหลอกลวง" พวกเขาไม่แสวงหาความรอดอย่างแท้จริงจนกระทั่งเห็นนรก แต่ตอนนั้นมันก็สายเกินไป ชีวิตแห่งการหลอกลวงทำให้พวกเขาสูญเสียทุกอย่างตลอดไป

ตอนนี้เปรียบเทียบคำว่า "คนหลอกลวง" กับผู้หญิงคนนั้นในพระธรรมของเรา เธอแสวงหาอย่างจริงจังที่จะได้รับรักษาอาการตกเลืดของเธอ เธอเชื่อฟังพระเยซู "มุ่งมั่นที่จะเข้ามาข้างใน" (ลูกา 13:24) คำว่า "มุ่งมั่น" มีจาก ภาษากรีก อาโกไนโซมาย หรือ agonizomai เรารับคำว่า "ความเจ็บปวด" หรือ “agony“ มาจากคำนี้ ตอนนี้กำลังอธิบายถึงผู้หญิงตกเลือดคนนั้นหรือเปล่า? ใช่หรือไม่ที่เธอมุ่งมั่นที่จะฝ่าฝุ่งชน แม้ว่าลำบากทนทุกข์เพื่อมาขอการรักษา? “เธอไปหาหมอมาแล้วมากมาย” หมอเหล่านั้นก็ไม่มีวิธีที่จะรักษาเธอให้หายได้ – เธอต้องเสียค่ารักษาไปแล้วมากมายแต่ก็ไม่หาย! หรือหมอคนไหนสามารถใช้! “ยา”รักษาอาการของเธอได้

จึงไม่แปลกใจอะไรที่เธอกลับใจใหม่ในวันนั้น! เธอตายในฝ่ายวิญญาณมานานแล้ว แต่แล้วเธอก็รับการช่วยกู้! นั่นคือชนิดของบุคคลที่ได้รับความรอด คนที่ “หลอกลวง” อยู่ในสภาพที่หลงหายไป แต่บรรดาผู้ที่มีความจริงจังและกังวลเกี่ยวกับความรอดของตนเองมักจะพบกับพระเยซูค่อนข้างรวดเร็ว ใช่ - เสมอ "“เจ้าจะแสวงหาเราและพบเรา"

“เจ้าจะแสวงหาเราและพบเราเมื่อเจ้าแสวงหาเราด้วยสิ้นสุดใจของเจ้า” (เยเรมีย์ 29:13)

คุณจะได้พบกับพระผู้ช่วยให้รอด! คุณจะ! คุณจะ! แต่ก็ต่อเมื่อคุณค้นหาพระองค์ "ด้วยสิ้นสุดใจของคุณ"เท่านั้น - เหมือนผู้หญิงที่ตกเลือดคนนี้! เธออยากจะได้รับการรักษาจริงๆ! เธอคิดอย่างนั้นตลอดเวลา คุณเคยคิดอย่างนี้ตลอดเวลาหรือไม่? นั่นทำให้คุณหลงหายไปหรือไม่? คุณกังวลอย่างนั้นหรือเปล่า! เป็นอย่างนั้นหรือเปล่า!

II. ประการที่สอง เธอไม่ได้ถูกรักษาโดยฝีมือหมอที่เธอเห็น

ผมได้กล่าวถึงแพทย์เหล่านี้แล้ว แต่ผมต้องการที่จะพูดถึงพวกเขาอีกนิดหนึ่ง สิ่งสำคัญในคืนนี้คือ- ไม่มีใครสามารถรักษาเธอได้! พวกเขาไม่สามารถช่วยเธอเลย – แต่กลับทำให้เธอแย่ลง

บางครั้งเรามีคนหนุ่มสาวเข้ามาในคริสตจักรและมีความกังวลเกี่ยวกับจิตวิญญาณของพวกเขา พวกเขาเริ่มที่จะกังวลเกี่ยวกับบาปของเขาและเกี่ยวกับชีวิตนิรันดร์ แต่พวกเขาไปหาเพื่อนที่ยังหลงหาย คนเหล่านั้นบอกว่าไม่มีอะไรหรอก เพื่อนที่ไม่ใช่คริสเตียนบอกพวกเขาให้หยุดไปคริสตจักร ดังนั้นเพื่อนที่ยังไม่รอดก็เป็นเหมือนหมอที่ไม่สามารถรักษาผู้หญิงคนนี้ได้ ทั้งหมดที่พวกเขาสามารถทำคือต้องการเงินของเธอเท่านั้น

บางครั้งเมื่อคนหนุ่มสาวเริ่มรู้สึกเชื่อในบาปพวกเขาก็จะไปหาศิษยาภิบาลอีกคนหนึ่งที่ให้คำแนะนำแบบผิดๆ ผมไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น แต่ก็มีผู้ประกาศเท็จจำนวนมากมายที่เป็นเหมือนหมอเถื่อนในพระธรรมของเรานี้ พวกเขายินดีให้คำแนะนำให้คุณ – แต่ไม่อาจช่วยจิตวิญญาณที่กำลังป่วยของคุณ!

ที่ผ่านมา ผมได้ไปเทศนาในหลายๆคริสตจักร มีอยู่ครั้งหนึ่งหลังจากเทศน์เสร็จ มีอนุชนกลุ่มหนึ่งมาหาผมเป็นการส่วนตัว มีเด็กผู้ชายหนึ่งคนและเด็กผู้หญิงสองคน พวกเขาร้องไห้และบอกผมอย่างชัดเจนว่ายังไม่รอด แต่วันนี้พวกเขาเชื่อในสิ่งที่ผมพูด ผมคุยกับพวกเขาหลายครั้งจนกว่าพวกเขาทั้งสามมั่นใจว่ารอดแล้ว พวกเขาจึงกลับบ้านด้วยวามดีใจและกลับไปบอกศิษยิบาลของพวกเขาถึงความรอดที่ได้รับจากการเทศนาฟื้นฟูครั้งนั้น เช้าวันถัดมาศิษยิบาลก็โทรศัพท์มาคุยกับผม พร้อมกับด่าตะคอกใส่ผมอย่างรุนแรงทาง โทรศัพท์ว่า - "ฉันไม่ยอมรับคุณ ฉันไม่ยอมรับคุณ ฉันปฏิเสธคุณ" ("ไม่ยอมรับ "หมายถึง" ฉันปฏิเสธคุณ!" ฉันไม่คบกับคุณ") ที่หลังมีคนมาบอกผมว่าเขาพูดอย่างนั้นเพราะอิจฉาผม เพราะเขาต้องการที่จะพูดว่าเขาเองเป็นคนพาพวกเขามารับความรอด! นั่นช่างแสดงถึงจิตใจของผู้รับใช้ที่แย่อ่อนแอคับแคบ "ไม่ยอมรับ" ที่ผมนำอนุชนทั้งสามคนรอดพ้นจากขุนไฟนรก! เขาจะต้องตอบพระเจ้าในการพิพากษาครั้งสุดท้าย! ไม่ใช่พิพากษาเบมา แต่เป็นพิพากษาครั้งสุดท้าย! แม้ว่าผู้รับใช้คนนั้นจะเป็นพวกโปรเตสแตนต์ก็ตาม เขาเลวมาก เลวไม่ต่างอะไรกับบาทหลวงของนิกายโรมันคาทอลิก! มีผู้รับใช้มากมายเช่นเขาในทุกวันนี้! พระเจ้าทรงตรัสให้กับผู้เผยพระวจนะเท็จดังนี้ว่า

“พระเยโฮวาห์ตรัสว่า “เราเป็นพระเจ้าใกล้แค่คืบ มิใช่พระเจ้าที่อยู่ไกลด้วยดอกหรือ” (เยเรมีย์ 23:32)

แม้แต่นักเทศน์ของแบ๊บติสต์ยังนำสิ่งที่ไม่เป็นความจริงมาบอกให้พวกคุณ – พยายามที่จะนำคุณให้ออกจากคริสจักรของคุณไปที่คริสตจักรของพวกเขา! หวังจะได้เงินถวายสิบลดของคุณเท่านั้น! เงินของคุณ! ผมเรียกนักเทศน์พวกนั้นว่า "คนโขมยแกะ" และผู้เผยพระวจนะเท็จ มันทำให้ผมปวดที่ท้องทุกครั้งที่ต้องมานึกถึงพวกเขา! พวกเขาเป็นเหมือนแพทย์ที่ไม่สามารถรักษาอาการตกเลือกของผู้หญิงคนนี้!

III. ประการที่สาม ร่างกายของเธอได้รับการรักษาหลังจากที่เธอแตะชายฉลองของพระองค์

เธอเดินฝ่าฝูงชนไปที่พระผู้ช่วยให้รอด คนเหล่านั้นเบียดเสียดกันเพราะมีคนมากมาย – มากมายและเบียดเสียดกัน – เพื่อดูพระเยซูกระทำการอัศจรรย์! แม้ว่าจะมีหลายคนสัมผัสพระเยซู แต่เพียงผู้หญิงคนนี้ที่ได้รับพลังอำนาจจากพระเยซูโดยที่รักษาร่างกายของเธอ ในเวลาอื่นนั้น "และผู้ใดได้แตะต้องพระองค์แล้วก็หายป่วยทุกคน" (มาระโก 6:56) แต่ครั้งนี้มีผู้หญิงคนนี่เท่านั้นได้รับการรักษา เราไม่สามารถพูดได้ว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น บางทีอาจจะไม่มีคนที่ "ซึ่งทรงเลือกไว้แล้วตามที่พระเจ้าพระบิดาได้ทรงล่วงรู้ไว้ก่อน โดยพระวิญญาณได้ทรงชำระ" (1 เปโตร 1:2)

ผมเชื่อว่าร่างกายของเธอได้รับการรักษาเพราะเธอเชื่อ เช่นเดียวกับคนบาปคนอื่น เธอได้รับความรอด "แม้ว่าท่านตายแล้วโดยการละเมิดและการบาป" (เอเฟซัส 2:1) บรรดาผู้ที่ตายในบาปต้องได้รับพลังอำนาจก่อนที่จะสามารถมาถึงที่พระเยซู บางคนเรียกว่า "การบังเกิดใหม่" แต่ไม่ใช่อย่างนั้น ผมเรียกว่า "ตื่นขึ้น" นั่นคือคือสิ่งที่อัครทูตเปาโลกล่าวไว้

ตื่นขึ้นและจงฟื้นขึ้นมาจากความตาย และพระคริสต์จะทรงส่องสว่างแก่ท่าน’” (เอซัส 5:14)

ตอนที่คุณถูกพระวิญญาณบริสุทธิ์ปลุกให้ตื่นขึ้นมา ตอนนั้นด้วยคุณจะเชื่อเรื่องของบาป คุณจะรู้สึกว่าคุณกำลังหมดหวังและเป็นทาสของบาป คุณจะถูกทำให้รู้สึกว่า "ตายในบาป" (เอเฟซัส 2:5) ดร. เตอร์ลอยด์ โจนส์กล่าวว่า "สัญญาณแรกของชีวิตทางฝ่ายวิญญาณคือรู้สึกว่าคุณเป็นคนที่ตายแล้ว" (The Law: Its Functions and Limits, The Banner of Truth Trust, 1975, p. 145)

ดร. ลอยด์ โจนส์ ยังกล่าวอีกว่า "คุณไม่สามารถเป็นคริสเตียนได้โดยที่ไม่ถูกทำให้เป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน" (Authentic Christianity, Volume I, The Banner of Truth Trust, 1999, p. 114)

ตอนที่คุณตื่นขึ้นมา คุณจะรู้สึกว่าในตัวคุณนั้นไม่มีอำนาจใดๆ คุณเองตายในบาปและไร้ความหวัง ตอนที่คุณถ่อมตนเช่นนี้ คุณจะเตรียมตัวมาที่พระผู้ช่วยให้รอด คุณยอมรับว่าไม่มีอะไรที่จะช่วยคุณได้ คุณจะไม่ยอมรับใครใดๆ แต่จะยอมจำนนให้กับพระเยซูเองเพื่อช่วยคุณให้รอด

ตอนที่คุณตื่นขึ้นมาคุณจะรู้สึกว่าคำสอนเกี่ยวกับพระคริสต์เพียงอย่างเดียวไม่สามารถทำให้คุณดีขึ้นได้ คุณจะรู้สึกว่าพระเยซูผู้เดียวเท่านั้นที่ทรงสามารถช่วยคุณให้รอด ดร. ลอยด์ โจนส์ กล่าวถึงเรื่องนี้อย่างชัดเจนในหนังสือของท่านที่ชื่อ ฟื้นฟู ท่านกล่าวไว้ในตอนท้ายว่า "มันเป็นสิ่งที่เลวร้ายที่ต้องตายทดแทน แม้ว่าจะเป็นคำสอนที่เป็นความจริงในชีวิตของคน" (Revival, Crossway Books, 1987, p. 58) ตอนที่คุณตื่นขึ้นมาแล้ว คุณจะไม่พอใจกับคำสอนเกี่ยวกับพระเยซู! แต่คุณต้องการตัวของพระเยซูเอง! คุณจะรู้สึกว่าพระเยซูเท่านั้นทรงสามารถช่วยให้คุณรอด! วิญญาณชั่วยังรู้ว่าพระเยซูคือใคร วิญญาณชั่วที่เมืองคาเปอร์นาอุมร้องออกมา "ท่านนี้เป็นผู้ใดหนอ…แม้กระทั่งลมและทะเลก็เชื่อฟังท่าน" (ลูกา 4:41) ปีศาจ เหล่านี้รู้แต่ในหลักคำสอนว่าพระองค์เป็นพระคริสต์ (พระเมษศิยาห์) พวกมันรู้ว่าพระองค์เป็นพระบุตรของพระเจ้า พวกมันรู้แต่ในหลักคำสอนเกี่ยวกับพระคริสต์ แต่พวกเขาไม่รู้จักพระองค์เป็นการส่วนตัว ทั้งหมดที่พวกมันรู้คือหลักคำสอนบางอย่างเกี่ยวกับพระเยซู เมื่อคุณตื่นขึ้นมาคุณจะไม่พอใจกับความรู้เกี่ยวกับพระเยซู แต่คุณต้องการตัวของพระเยซูเอง! เมื่อคุณตื่นขึ้นมาจากการเป็นคนที่หลงหายและคนทุกข์ยากอย่างแท้จริงแล้ว คุณก็จะไม่พอใจกับความเชื่อที่อยู่แต่ในข้อพระคัมภีร์เพียงอย่างเดียวเท่านั้น และคุณก็จะทราบได้ทันทีว่าพระเยซูคริสต์เท่านั้นที่ทรงสามารถช่วยคุณให้รอดได้

“ด้วยเหตุว่า …มีคนกลางแต่ผู้เดียวระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ คือพระเยซูคริสต์ผู้ทรงสภาพเป็นมนุษย์ (1 ทิโทธี 2:5)

และคุณจะต้องรู้จักและเชื่อ "ในตัวของพระเยซูคริสต์" พระองค์เองเท่านั้นช่วยคุณให้รอดได้

“และนี่แหละคือชีวิตนิรันดร์ คือที่เขารู้จักพระองค์ ผู้ทรงเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียว และรู้จักพระเยซูคริสต์ที่พระองค์ทรงใช้มา” (ยอห์น 17:3)

ไม่ใช่คุณมารู้จักบางสิ่งเกี่ยวกับพระเจ้า แต่คุณต้องรู้จักกับตัวของพระเจ้า ไม่ใช่คุณมารู้จักบางสิ่งเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ คุณต้องรู้จักกับตังของพระเยซูคริสต์! นั่นคือวิธีเดียวที่ทำให้คุณรับชีวิตนิรันดร์ นั่นคือวิธีเดียวที่ทำให้คุณได้รับความรอด! คุณต้องรู้จักกับตัวของพระเยซูคริสต์!

เหนือสิ่งอื่นใด ให้มาคิดถึงสิ่งที่พระเยซูคริสต์ทรงทำเพื่อช่วยคุณให้รอด! ลองคิดว่าเวลาที่พระองค์ทรงทนทุกข์ในสวนเกทเสมเนจนพระเสโธของพระองค์ทรงหลั่งออกมาเป็นเลือดเพื่อช่วยคุณให้รอด มีสักกี่ครั้งที่คุณได้ยินว่ามันไม่มีความหมายให้กับคุณเลย? ใจของคุณผลักวันประกันพรุ่งหรือเปล่า? คิดถึงการทนทุกข์ของพระองค์ที่สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน – เป็นตัวแทนของคุณ และอยู่ในที่ของคุณ โดยการทนทุกข์ทรมานและสิ้นพระชนม์ชดใช้ความบาปของคุณ มีสักกี่ครั้งที่คุณได้ยินว่ามันไม่มีความหมายให้กับคุณเลย? ถ้าคุณเป็นอย่างนั้น คุณก็จะไม่มีความหวังใดๆ! ไม่มีเลยแม้แต่น้อย!

มีชายชราคนหนึ่งไปหาผู้รับใช้บางคน เขาเป็นคนที่โดดเดี่ยวและมีศิษยาภิบาลท่านหนึ่งก็ให้เขาไปอยู่ในอพาร์ตเมนต์เล็ก ๆ ที่คริสตจักร เขาได้เขียนเพลงนมัสการทั้งน้ำตา ว่าเขาเคยตายในบาปมานานหลายปี นี่คือบทเพลงของเขา

ฉันชอบที่จะบอกคุณถึงสิ่งที่ฉันนึกถึงพระเยซู
   ตั้งแต่ฉันได้พบ พระองค์คือเพื่อนที่แท้จริง
ฉันจะบอกคุณว่าพระองค์ทรงเปลี่ยนชีวิตของฉันอย่างสมบูรณ์
   พระองค์ทรงทำสิ่งที่ไม่มีเพื่อนคนไหนสามารถทำได้
ไม่มีใครห่วงใยฉันเหมือนพระเยซู
   ไม่มีเพื่อนคนไหนที่เมตตาเหมือนอย่างพระองค์
ไม่มีใครสามารถนำความบาปและความมืดออกจากฉันได้
   พระองค์ทรงห่วงใยฉันมากเพียงใด!
(“No One Ever Cared For Me Like Jesus” by Charles F. Weigle, 1871-1966).

แต่นั่นไม่ใช่ทางที่ทำให้ผู้หญิงตกเลือดนั้นหายจากโรคของเธอ

IV. ประการที่สี่ เธอกลับใจใหม่หลังจากที่ได้มาพบกับพระเยซู

ผมบอกแล้วว่าเธอยังไม่รู้สึกว่าพระเยซูเป็นเพื่อนของเธอ ตอนที่พระเยซูทรงทอดพระเนตรเธอ พระคัมภีร์กล่าวว่า

“ฝ่ายผู้หญิงนั้นก็กลัวจนตัวสั่น เพราะรู้เรื่องที่เป็นแก่ตัวนั้น จึงมากราบลงทูลแก่พระองค์ตามจริงทั้งสิ้น” (มาระโก 5:33)

เธอยังคงกลัวพระองค์ นั่นคือเหตุผลที่ผมบอกว่าเธอยังไม่รอด เธอถูกปลุกให้ตื่นขึ้น แต่ไม่ได้กลับใจใหม่

แต่แม้ในขณะที่เธอกลัวจนตัวสั่น ก็ยังมาหาพระองค์ "เธอมากราบลงก่อนที่พระองค์" ความกลัวของเธอแสดงให้เห็นว่ายังไม่รู้จักพระองค์ แต่เธอก็มาหาพระองค์ด้วยท่าทีที่กลัวและตัวสั่นเป็นอย่างมาก ความเชื่อของเธอไม่เข้มแข็งพอ เธอเป็นเพียงแค่ผู้หญิงยากจคนหนึ่ง และไม่เป็นที่รู้จักมากนัก แต่เธอรู้ว่าพระเยซูต้องช่วยรักษาเธอได้ เธอถูกปลุกให้ตื่นขึ้นโดยพระคุณของพระองค์ แต่เธอไม่ทราบความรักของพระองค์ แต่เธอก็มาหาพระองค์!

ผมรักเพลงของแอนนา ดับบลิว วอเตอร์เมน ที่นายกริฟฟิพึ่งร้องก่อนที่ผมจะเทศนา ผมรักมันเพราะผมรู้ว่ามันเป็นความจริง นั่นคือความจริงในชีวิตของผมและก็จะเป็นเช่นนั้นในชีวิตของคุณ ถ้าคุณมาที่พระเยซู

และฉันรู้ว่าใช่ฉันรู้ว่า
   โลหิตของพระเยซูสามารถทำให้คนบาปขาวสะอาด
และฉันรู้ว่าใช่ฉันรู้ว่า
   โลหิตของพระเยซูสามารถทำให้คนบาปขาวสะอาด
(“Yes, I Know!” by Anna W. Waterman, 1920).

ถ้าคุณมาที่พระผู้ช่วยให้รอด พระองค์จะช่วยคุณให้รอดในเช้านี้ พระองค์จะล้างความผิดบาปของคุณด้วยโลหิตอันมีค่าของพระองค์ - และพระองค์จะตรัสให้กับคุณเหมือนอย่างที่ทรงตรัสให้กับผู้หญิงที่เลือกตกคนนั้น

“พระองค์จึงตรัสแก่ผู้หญิงนั้นว่า “ลูกสาวเอ๋ย ที่เจ้าหายโรคนั้นก็เพราะเจ้าเชื่อ จงไปเป็นสุขและหายโรคนี้เถิด” (มาระโก 5:34)

ถ้าคุณมาที่พระเยซูในเช้านี้ พระองค์จะทรงช่วยคุณให้รอดจากความบาปของคุณ และพระองค์จะส่งคุณกลับบ้านในช่วงบ่ายนี้ เช่นเดียวกับที่พระองค์ทรงช่วยให้ผู้หญิงคนนั้น

“ที่เจ้าหายโรคนั้นก็เพราะเจ้าเชื่อ จงไปเป็นสุขและหายโรคนี้เถิด”

ถ้าคุณอยากจะคุยกับพวกเราเกี่ยวกับการรับการชำระบาปโดยโลหิตของพระเยซู กรุณาออกจากที่นั่งของคุณตอนนี้และเดินไปที่ด้านหลังของห้องนมัสการนี้ เราจะนำพวกคุณไปยังอีกห้องหนึ่งเพื่อให้คำปรึกษาและอธิษฐานเผื่อ ไปได้ในตอนนี้ ดร. ชาน กรุณานำเราอธิษฐานเผื่อคนที่ไว้วางใจในพระเยซูนี้ด้วย อาเมน

(จบการเทศนา)
คุณสามารถอ่านบทเทศนาของ ดร. ฮิวเมอร์ ได้ในแต่ละอาทิตย์ทางอินเตอร์เนทได้ที่
www.realconversion.com. (กดที่นี่) “บทเทศนาในภาษาไทย”

คุณสามารถส่งอีเมล์ถึง ดร. ไฮเมอร์ส ที่ rlhymersjr@sbcglobal.net
– หรือเขียนจดหมายส่งไปให้เขาที่ P.O. Box 15308, Los Angeles, CA 90015.
หรือโทรศัพท์ถึงเขาที (818) 352-0452.

หมายเหตุ: ต้นฉบับของบทเทศนาเหล่านี้ไม่ได้สงวนลิขสิทธิ์
คุณสามารถนำไปใช้โดยที่ไม่ต้องขออนุญาตจาก ดร. ไฮเมอร์ส
แต่อย่างไรก็ตามข้อความทั้งหมดของ ดร. ไฮเมอร์ส
ที่อยู่ในรูปวิดีโอนั้นมีการสงวนลิขสิทธิ์และต้องได้รับการอนุญาตเท่านั้นถึงจะสามารถนำมาใช้ได้

อ่านพระคัมภีร์ก่อนเทศนาโดย อาเบล พลูโฮมมี: มาระโก 5:25-34
ร้องเพลงเดี่ยวพิเศษโดย มร. เบนจามิน คินเคด กริฟฟิท์:
“Yes, I Know!” (by Anna W. Waterman, 1920).


โครงร่างของ

ผู้หญิงคนที่อยู่ท่ามกลางฝูงชน

โดย ดร. อาร์ เอล์ ไฮเมอร์ส จูเนียร์

“พระองค์จึงตรัสแก่ผู้หญิงนั้นว่า “ลูกสาวเอ๋ย ที่เจ้าหายโรคนั้นก็เพราะเจ้าเชื่อ จงไปเป็นสุขและหายโรคนี้เถิด” (มาระโก 5:34)

(มาระโก 5:33)

I.   ประการแรก เธอต้องการได้รับการรักษาจริงๆ ลูกา 13:23; 2 ทิโมธี 3:7; เยเรมีย์ 29:13.

II.  ประการที่สอง เธอไม่ได้ถูกรักษาโดยฝีมือหมอที่เธอเห็น เยเรมีย์ 23:32.

III. ประการที่สาม ร่างกายของเธอได้รับการรักษาหลังจากที่เธอแตะชายฉลองของพระองค์มาระโก 6:56; 1 เปโตร 1:2; เอเฟซัส 2:1; 5:14; 2:5; ลูกา 4:41; I ทิโมธี 2:5; ยอห์น 17:3.

IV.  ประการที่สี่ เธอกลับใจใหม่หลังจากที่ได้มาพบกับพระเยซู มาระโก 5:33.