Print Sermon

เป้าหมายของเว็ปไซต์นี้คือจัดเตรียมบทเทศนาที่เขียนจากต้นฉบับ และในรูปแบบวีดีโอให้กับผู้รับใช้ และมิชชั่นนารีที่ไปรับใช้ในต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศในโลกที่สามที่ขาดแคลนพระคริสตธรรมหรือโรงเรียนอบรมพระคัมภีร์

ต้นฉบับของบทเทศนาเหล่านี้ถูกอ่านในคอมพิวเตอร์ประมาณ 1,500,000 เครื่อง และมากกว่า 221 ประเทศในแต่ละปี โปรดไปอ่านได้ที www.sermonsfortheworld.com ในขณะเดียวกันมีหลายร้อยคนดูวิดีโอบน YouTube และหลังจากนั้นคนเหล่านั้นก็จะย้ายจากดู YouTube มาอ่านเว็บไซต์ของเรา YouTube นำคนมาที่เว็บไซต์ของเรา บทเทศนาต้นฉบับนี้ถูกแปลออกเป็น 46 ภาษา และมีคนอ่านในคอมพิวเตอร์มากถึง 120,000 ทุก ๆ เดือน บทเทศนาต้นฉบับนี้ไม่สงวนลิขสิทธิ์ อนุญาตให้นักเทศนาสามารถนำไปใช้เทศน์ได้ นอกจากนี้ยังมีในรูปแบบวีดีโอเป็นร้อย ๆ ซึ่งเทศน์โดย ดร. ไฮเมอร์ส และนักศึกษาของท่าน บทเทศนาต้นฉบับไม่สงวน แต่จะสงวนเฉพาะในรูปแบบวีดีโอ กรุณาคลิกที่นี่เพื่อเรียนรู้ว่าจะสนับสนุนการประกาศพระกิตติคุณไปทั่วโลกได้อย่างไร

ตอนที่คุณเขียนหนังสือไปให้ ดร. ไฮเมอร์ส บอกท่านเสมอว่าคุณเขียนมาจากประเทศอะไร หรือท่านไม่ได้ตอบคุณ อีเมล์ของ ดร. ไฮเมอร์ส คือ rlhymersjr@sbcglobal.net




ทำไมเราต้องอดอาหาร

WHY WE FAST
(Thai)

โดย ดร. อาร์ เอล์ ไฮเมอร์ส จูเนียร์
by Dr. R. L. Hymers, Jr.

เทศนาในตอนเช้าวันของพระเป็นเจ้า วันที่ 7 เดือน ตุลาคม ค.ศ. 2012 ณ คริสตจักร
แบ๊บติสต์แห่งนครลอสแองเจลิส
A sermon preached at the Baptist Tabernacle of Los Angeles
Lord’s Day Morning, October 7, 2012


กรุณาเปิดพระคัมภีร์ของท่านไปที่พระธรรม อิสยาห์ 58:6 ขอให้เรายืนขึ้นและอ่านพระคำของพระเจ้า

“การอดอาหารอย่างนี้ไม่ใช่หรือที่เราต้องการ คือการแก้พันธนะของความชั่ว การปลดเปลื้องภาระหนัก และการปล่อยให้ผู้ถูกบีบบังคับเป็นอิสระ และการหักแอกเสียทุกอัน” (อิสยาห์ 58:6)

พวกคุณนั่งลงได้

ผู้คนสมัยก่อนมีการอดอาหารโดยที่ไม่ทานอะไรเป็นช่วงระยะเวลาหนึ่ง ตอนต้นในพระธรรมอิสยาห์พระเจ้าได้บอกอิสยาห์ถึงสาเหตุที่พระองค์ปฏิเสธการอดอาหารของพวกเขา การอดอาหารนั้นพระเจ้าไม่ได้ปฏิเสธ เพราะพระคัมภีร์ได้กล่าวถึงการอดอาหารของผู้คนที่ถูกต้องอยู่หลายแห่ง แต่การอดอาหารในที่นี้ผิดเป้าหมาย นั่นเป็นเพียงการกระทำภายนอกหรือตามแบบศาสนา เช่นพวกเขาได้ทะเลาะเบาะแว้งในขณะที่กำลังอดอาหารอธิษฐาน พวกเขาได้ละเลยความมีน้ำใจและรักที่มีต่อคนอื่น ศาสนาของพวกเขาเยือกเย็นและโหดร้าย พวกเขาอดอาหาร เพื่อทำตามธรรมเนียมเท่านั้น ไม่เคยคิดว่าจะเป็นที่พอพระทัยพระเจ้าหรือไม่ ในขณะที่มีการอดอหารนั้น

พระเยซูทรงตำหนิการอดอาหารในลักษณะเช่นนี้ พระคริสต์ตรัสว่า

“ยิ่งกว่านั้นเมื่อท่านถืออดอาหาร อย่าทำหน้าเศร้าหมองเหมือนคนหน้าซื่อใจคด ด้วยเขาแสร้งทำหน้าให้ผิดปกติ เพื่อจะให้คนเห็นว่าเขาถืออดอาหาร เราบอกความจริงแก่ท่านว่า เขาได้รับบำเหน็จของเขาแล้ว” (มัทธิว 6:16).

รางวัลของพวกเขานั้นทุกคนเห็นกันหมดแล้ว นั่นคือแสดงให้คนอื่นรู้ว่าพวกเขานั้นดีเพียงใด พวกเขาไม่เคยคาดหวังอะไรจากพระเจ้าเลยจากการอดอาหารนั้น พวกเขาทำเพื่ออวดอ้างคนอื่นว่าพวกเขาคือผู้เครั่งครัดในศาสนา

แต่ให้เข้าใจว่าพระเยซูไม่ได้ตำหนิทุกการอดอาหาร พระองค์ตรัสกับเหล่าสาวกว่า “ตอนที่พวกเจ้าอดอาหาร อย่าทำเหมือนคนหน้าซื่อใจคด….” และพระองค์ยังกล่าวอีกว่า

“ฝ่ายท่านเมื่อถืออดอาหาร จงชโลมทาศีรษะและล้างหน้าเพื่อท่านจะไม่ปรากฏแก่คนอื่นว่าถืออดอาหาร แต่ให้ปรากฏแก่พระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในที่ลี้ลับ และพระบิดาของท่านผู้ทอดพระเนตรเห็นในที่ลี้ลับจะทรงโปรดประทานบำเหน็จแก่ท่านอย่างเปิดเผย” (มัทธิว 6:17-18)

พระองค์ไม่ได้ตำหนิทุกการอกอาหาร แต่พระองค์บอกว่าต้องทำอย่างไร “ตอนที่พวกเจ้าอดอาหาร” “ในขณะที่พวกเจ้าอดอาหาร” สำหรับคริสเตียนที่แท้จริงนั้นความสัมพันธ์กับพระคริสต์นั้นคือสิ่งที่สำคัญ และการอดอาหารที่แท้จริงนั้นเป็นเรื่องส่วนบุคคลและในที่ลับ ไม่มีหรอกที่จะออกไปประกาศให้คนอื่นรู้ว่าตัวเองกำลังอดหาร!

ความจริงคือคนอเมริกาที่รู้เรื่องเกี่ยวกับการอดอาหารนั้นน้อยมาก ผมเคยเป็นสมาชิกที่คริสตจักรเซาเทร์นแบ๊บติสต์เป็นเวลาถึงหกปี ไม่เคยได้ยินเลยคำว่าอดอาหาร คำนี้พึ่งจะมารู้ตอนที่มาเป็นสมาชิกที่คริ สตจีนจักรแบ๊บติสต์ ที่นี่คือครั้งแรกในชีวิตของผมที่ได้ยินเรื่องการอดอาหาร นั่นคือมีบางคนได้อดอาหารอธิษฐาน พระเจ้าก็ส่งการฟื้นฟูลงมาที่คริสตจักรนั้น หลังจากนั้นเป็นต้นมาผมจึงทราบว่าการอดอาหารเป็นเรื่องปกติสำหรับคริสตจักรในประเทศจีน ผมจึงเชื่อว่านั่นคือเหตุผลหนึ่งที่ทำให้พระเจ้าทรงส่งการฟื้นฟูให้กับทุกคริสตจักรในประเทศสาธารณประชาชนจีนในทุกวันนี้ ผมยังเชื่ออีกว่าการฟื้นฟูที่เกิดขึ้นนั้นคือสิ่งที่พระเจ้าทรงตอบคำอธิษฐานของพวกเขาจากการใช้เวลาทำการอดอาหาร เจมส์ เทย์เลอร์ ฮัดสัน, นักบุกเบิกการประกาศในประเทศจีนกล่าวว่า

      ในเมืองเชนซี ผมพบว่าคริสเตียนชาวจีนที่นี่คุ้นเคยกับใช้เวลาในการอดอาหารและอธิษฐาน พวกเขายอมรับว่าการอดอาหารมีหลายคนอาจจะไม่ชอบ กับการเชื่อในพระเจ้า จนกระทั่งมันทำให้คนๆนั้นรู้สึกอ่อนแอ ตอนนั้นพระคุณของพระเจ้าจึงจะมีค่า

นักอธิษฐานอย่าง เอ็นดรูว์ เมอร์เรน ได้กล่าวเอาไว้ว่า

การถืออดอาหารเป็นการแสดงออกถึงส่วนลึกภายใน และบ่งบอกว่าเราพร้อมที่จะเสียสละทุกๆอย่าง แม้กระทั่งตัวเราเองเพื่อให้บรรลุถึงการที่เราแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า

นักปฎิรูปศาสนาอย่าง ลูเธอร์ คาร์วิน และนอส์ ต่างก็มีการอดอาหารอย่างสม่ำเสมอ ผู้รับใช้ในเคลือของเมโธดิสต์ในยุคสมัยก่อนนั้นถูกกำหนดให้ถืออดอาหารสองครั้งต่อสัปดาห์ก่อนที่จะเทศนา เดวิด เบรนเนอดร์ คือรุ่นแรกที่นำพระกิตติคุณไปประกาศให้กับชาวอินเดียแดง ได้กล่าวว่า

วันที่ข้าพเจ้าจะกล่าวพระวัจนะของพระเจ้านั้น…ข้าพเจ้าได้ตั้งวันนั้นเป็นวันที่ต้องทำการอดอาหารอธิษฐาน

เบรนเนอดร์ สังเกตุเห็นถึงฤทธิ์เดของพระเจ้าเกิดให้กับชาวอินเดียแดงในขณะที่ท่านกำลังเทศนา

มีอยู่สามอย่างที่ผมได้เห็นด้วยตาตัวเอง และเป็นเรื่องที่อัศจรรย์มากๆที่พระวิญญาณของพระเจ้าเสด็จลงมาในขณะที่มีการฟื้นฟูอยู่ สองในสามเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นในช่วงที่มีการอดอาหารอธิษฐาน การประกาศฟื้นฟูใหญ่ครั้งแรกนั้นก็เป็นเช่นนี้ จอห์น เวสเลย์ หนึ่งในผู้นำด้านการฟื้นฟู ก็กล่าวว่า

คุณได้ตั้งวันใดวันหนึ่งให้เป็นวันของการถืออดอาหารและการอธิษฐานแล้วหรือยัง? พายุบัลลังก์แห่งพระคุณ ความอดทน และความเมตตาจะลงมา

เวสเลย์เองก็อดอาหารสองวันต่อสัปดาห์เป็นเวลาหลายปีในช่วงฤดูที่มีการฟื้นฟู

ตอนนี้พวกเราอยู่ในช่วงเวลาที่คริสตจักรในอเมริกา และในแถบยุโรปกำลังเหี่ยวเฉา คริสตจักรของพวกเรากำลังเผชิญกับปัญหา ล้านๆคนได้ละทิ้งคริสตจักร หันไปนับถือศาสนาพุทธ การทำสมาธิแบบชาวตะวันออก และรวมถึงความเชื่อที่ผิดๆ ประมาณสามปีครึ่งที่ผ่านมา ประธานาธิบดีโอบามากล่าวตอนสาบานตนเป็นผู้นำประเทศ ท่านกล่าวว่า อเมริกาไม่ใช่ประเทศของคริสเตียนอีกไปต่อไป และจากเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในทุกวันนี้กำลังบ่งบอกว่าที่ท่านกล่าวไว้นั้นถูกต้องทีเดียว

มันเกิดขึ้นได้อย่างไร? มันเกิดและใหญ่ขึ้นเพราะว่าบรรดาผู้รับใช้ต่างๆของคนอเมริกา พวกเขาได้นำเพลงที่ไร้สาระมาร้องในคริสตจักร การเทศนาของพวกเขานั้นจะเป็นลักษณะสอนแบบข้อต่อข้อ หรือที่เรียกกันว่า “อรรถธิบาย” แทนที่จะเป็นรูปแบบของการเทศนาที่แท้จริง ตามอย่างที่นักประกาศสมัยก่อนทำกัน คริสตจักรก็ปิดการนมัสการในช่วงเย็นของวันอาทิตย์ หลายคริสตจักรก็ล้มเลิกการประชุมอธิษฐาน ใช้เวลาในช่วงระหว่างสัปดาห์หมกมุ่นอยู่กับการเตรียมเทศน์แบบ “อรรถธิบาย” รูปแบบการอธิษฐานที่เคยทำกันมาก็เริ่มจะสูญหาย พวกเขาปล่อยให้สมาชิกใส่เสื้อผ้ามาคริสตจักรเหมือนกำลังจะไปเที่ยวทะเล ตีกลอง ร้องเพลงที่เร้าใจ รวมไปถึงมีการเต้นรำ อย่างที่เรียกกันว่า “การนมัสการ” และร้ายยิ่งกว่านั้นนักเทศน์หลายๆคนไม่รู้เลยว่าการนำคนให้กลับใจใหม่ที่แท้จริงนั้นเป็นอย่างไร มีทางเดียวที่พวกเขาสามารถเพิ่มสมาชิกให้กับคริสตจักรคือล่อผู้เชื่อจากคริสตจักรอื่นให้เข้ามาเป็นสามาชิกในคริสตจักรของตัวเอง ทางเดียวที่พวกเขารู้เกี่ยวกับการเพิ่มสมาชิกคือการ “ขโมยลูกแกะ” จากคริสตจักรอื่น

ดร. เอ ดับบริว์ โตเซอร์ ถูกขนานนามว่า “ผู้เผยพระวัจนะในยุคศตวรรษที่ยี่สิบ” ตลอดชีวิตของท่าน สิ่งที่ ดร. โตเซอร์ กล่าวเอาไว้นั้นเป็นจริงขึ้นเรื่อยๆให้กับทุกวันนี้ ท่านกล่าวว่า

      ผู้ที่เคร่งครัดในทางศาสนาจะโดดเด่นด้วยเรื่องของความหวาดกลัวและขาดความกล้าหาญทางศีลธรรม ได้ยอมแพ้อย่างที่เรียกกันว่า คริสเตียนป้อแป้ปัญญาอ่อน ชอบแข่งขันและทำให้เป็นที่เอือมระอา นี่เป็นความเชื่อแบบเร่ขาย เป็นความเชื่อตามบรรพบุรุษของเรา...เราถูกตัดข้าวใส่ปาก [อาหารเด็กรสจืด] อาหารมังสะวิรัติที่มีรสจืดป้อนให้กับเยาวชนของเรา และมีการสอบถามเพื่อให้เป็นที่พอใจ โดยใส่เครื่องเทศ รสเผ็ด ความสนุกสนานซึ่งขโมยมาจากโลก มันง่ายและอาจจะให้ความเพลิดเพลินแต่ไร้การแนะนำตีสอน มันเป็นการง่ายที่ให้ปฏิบัติตามรสนิยมของคนส่วนใหญ่ แต่กับตัวเองกลับไม่ได้อะไรเลย ผู้นำศาสนาของเราจิตใจได้ฝ่อ ในขณะเดียวกันพวกเขาใช้มืออย่างว่องไวปฏิบัติการทางศาสนาในการนำฝูงชนที่อยากรู้อยากเห็น (A. W. Tozer, D.D., “We Need Sanctified Thinkers,” The Set of the Sail, Christian Publications, 1986, pp. 67, 68).

เพื่อให้มีการฟื้นฟูเกิดขึ้นในคริสตจักรของเรา เราต้องอะไรสักอย่างที่มากไปกว่าการทำตามคำสอนที่ผู้รับใช้เหล่านี้เสนอมา เพราะเป็นการเทศนาที่เหี่ยวแห้งและเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นอย่างที่เรื่องกันว่า “อรรถธิบาย” เป็นความคิดที่สรรหามาจากหลายทิศหลายทาง เช่นจากอรรถธิบายพระคัมภีร์ในสมัยใหม่ ที่เขียนอย่างตื้นๆโดยใครบางคน เราต้องการมากกว่าการเป็น “คริสเตียนที่เป็นเหมือนหุ่น” ไม่เป็นที่ดึงดุดให้กับพวกวัยรุ่นในโลกนี้ และยากต่อการที่จะนำคนเหล่านั้นมาเป็นสาวกของพระคริสต์!

มาถึงตอนที่เราต้องถามตัวเราเอง เราปราถนาที่จะนำคนหนุ่มสาวในโลกนี้มาเชื่อพระเจ้า หลังจากการเสาะหาวิญญาณที่หลงหาย และอธิษฐาน ผมจึงเชื่อว่าไม่มีทางอื่นอีกที่เราจะสามารถนำดวงวิญญาณเหล่านั้นมาถึงพระเจ้าโดยที่ไม่มีพระเจ้าเข้ามาเกี่ยวข้อง พระเจ้าได้ตรัสให้กับผู้เผยพระวจนะเศคาริยาห์ว่า

“นี่เป็นพระวจนะของพระเยโฮวาห์ที่ให้ไว้กับเศรุบบาเบลว่า มิใช่ด้วยกำลัง มิใช่ด้วยฤทธานุภาพ แต่ด้วยวิญญาณของเรา พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสดังนี้แหละ” (เศคาริยาห์ 4:6)

มีทางเดียวที่เราสามารถนำดวงวิญญาณของหนุ่มสาวเหล่านั้นมาถึงพระคริสต์ และในคริสตจักรคือ “ด้วยวิญญาณของเรา พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสดังนี้แหละ”

ตอนที่เหล่าสาวกเห็นเศรษฐีหนุ่มนั้นเดินจากพระองค์ไปสู่วิถีชีวิตเดิมและบาป พวกเขาได้ไตร่ถามพระคริสต์ว่า “แล้วใครล่ะสามารถรอดได้?”

“พระเยซูทอดพระเนตรเหล่าสาวกแล้วตรัสว่าฝ่ายมนุษย์ย่อมเป็นไปไม่ได้ แต่ไม่เป็นแบบนั้นกับพระเจ้า เพราะว่าพระเจ้าทรงกระทำให้เป็นไปได้ทุกสิ่ง” (มาระโก 10:26, 27)

และแล้วคุณก็ทำได้! ใช้คำพูดคนมนุษย์ไม่สามารถทำให้เศรษฐีหนุ่มคนนี้กลับใจ รวมถึงคนหนุ่มสาวอื่นๆ! “ฝ่ายมนุษย์ย่อมเป็นไปไม่ได้” ไม่มีโปรแกรมไหนที่ทำได้! ไม่มีคำเทศนาที่ดีเลิศประเสริฐไหนทำได้! ไม่มีแหล่งบันเทิงใดๆทำได้! “แล้วใครล่ะที่จะรอด?” “ฝ่ายมนุษย์ย่อมเป็นไปไม่ได้” พระองค์ไม่ได้พูดว่า “มันเป็นไปไมได้” ไม่ ไม่! พระองค์ตรัสว่า “มันเป็นไปไม่ได้พระเจ้าท่านั้น ที่ทำได้! “ฝ่ายมนุษย์ย่อมเป็นไปไม่ได้ แต่ไม่เป็นแบบนั้นกับพระเจ้า เพราะว่าพระเจ้าทรงกระทำได้ในทุกสิ่ง”

“นี่เป็นพระวจนะของพระเยโฮวาห์ที่ให้ไว้กับเศรุบบาเบลว่า มิใช่ด้วยกำลัง มิใช่ด้วยฤทธานุภาพ แต่ด้วยวิญญาณของเรา พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสดังนี้แหละ” (เศคาริยาห์ 4:6)

พระเจ้าสามารถทำให้คนหนุ่มสาวเหล่านั้นเห็นถึงความว่างเปล่าของชีวิตนี้ – และความสิ้นหวังของโลกนี้! พระเจ้าเท่านั้นที่สามารถทำให้คนหนุ่มสาวเหล่านั้นอยากที่จะเข้ามาในคริสตจักรในทุกวันอาทิตย์! พระเจ้าเท่านั้นที่สามารถขจัดการเชื่อมั่นในตัวเอง! พระเจ้าเท่านั้นที่สามารถทำให้พวกเขาเชื่อเรื่องบาป! พระเจ้าเท่านั้นที่สามารถนำพวกเขามาถึงพระคริสต์และรับการชำระโดยพระโลหิตของพระองค์ ฤทธิ์เดชของพระองค์เท่านั้นที่สามารถนำพวกเขาให้มาถึงพระบุตรของพระองค์ และทำให้พวกเขาอยู่ในสายพระเนตรของพระองค์!

ฤทธิ์เดชของพระเจ้าอยู่ท่ามกลางพวกเราได้อย่างไร? ให้เรากลับมาที่ข้อพระคัมภีร์ของเรา

“การอดอาหารอย่างนี้ไม่ใช่หรือที่เราต้องการ คือการแก้พันธนะของความชั่ว การปลดเปลื้องภาระหนัก และการปล่อยให้ผู้ถูกบีบบังคับเป็นอิสระ และการหักแอกเสียทุกอัน” (อิสยาห์ 58:6)

นี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงบอกให้เราอดอาหารอธิษฐาน


1.  เพื่อหลุดออกจากบ่วงเร้ว [โซ่ตรวน] แห่งความชั่ว

2.  เพื่อกำจัดภาระหนักให้ออกไป

3.  เพื่อปลอดปล่อยการกดขี่ข่มเหงออกและทำลายแอก


ถ้าคุณมาอยู่กับพวกเราในเช้านี้ และยังไม่ได้บังเกิดใหม่เป็นคริสเตียน ผมอยากให้คุณรับทราบว่า มีคนหนุ่มสาวหลายคนได้มาอดอาหาร อธิษฐานให้คุณเมื่อวานนี้ เราไม่อยากเอ่ยนามของพวกเขา แต่หลายคนทีเดียวที่อธิษฐานในที่ลับให้คุณ พวกเขาไม่ได้ทานอะไรทั้งวันเลย จนกระทั่งตอนที่เรามาที่คริสตจักรในตอนกลางคืนพวกเขาถึงได้ทานข้าวร่วมกับเรา ทำไมพวกเขาถึงต้องอดอาหารและอธิษฐานให้คุณ? พวกเขาทำอย่างนั้นเพราะเป็นห่วงคุณมาก อยากให้คุณหลุดพ้นจากโซ่แห่งบาป อยากให้คุณหลุดพ้นจากการแบกภาระหนัก และการข่มเหงของซาตาน พวกเขาอดอาหารอธิษฐานตลอดเมื่อวานนี้ขอให้พระเจ้าเสด็จมาปล่อยคุณเป็นอิสระจากบาป และนำคุณเข้ามาสามัคคีธรรมกับพวกเราในคริสตจักร และนำคุณเข้ามารับการชำระโดยพระโลหิตของพระองค์ ดร. เอลเมอร์ เทาวน์ แห่งมหาวิทยาลัยไลเบอร์ตี กล่าวว่า

      เมื่อคุณอดอาหารและอธิษฐาน คุณสามารถขอให้พระเจ้าทรงเปิดหน้าต่างแห่งสวรรค์และเทพระพรลงมาให้กับคนอื่น ๆ ... คุณสามารถเคาะประตูสวรรค์ให้พระเจ้าลงโทษคนบาปที่หลงหาย และนำพวกเขาหันกลับมาที่พระเยซูคริสต์ (Elmer L. Towns, D.Min., The Beginner’s Guide to Fasting, Regal, 2001, p. 124).

เมื่อวานนี้คนของเราส่วนใหญ่ได้มาร่วมกันอดอาหารอธิษฐานให้คุณ พวกเขาขอพระเจ้าทรงเปิดตาของคุณให้เห็นถึงชีวิตที่ว่างเปล่าบนโลกนี้โดยที่ไม่มีพระคริสต์ พวกเขาอธิษฐานให้พระเจ้านำคุณเข้ามาร่วมสามัคคีธรรมอย่างอบอุ่นกับพวกเรา พวกเขาอธิษฐานให้พระเจ้าส่งสว่างในใจของคุณ เพื่อคุณจะรับรู้ถึงบาปของคุณ และรู้สึกต้องการพระคริสต์ พวกเขาขอพระเจ้าสำแดงให้คุณรู้ว่า พระคริสต์ได้สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนเพื่อไถ่ของคุณ และโลหิตของพระองค์หลั่งลงมาชำระทุกความผิดบาปของคุณ พวกเขาอธิษฐานให้คุณ เพื่อพระเจ้าจะสำแดงให้คุณเห็นพระคริสต์ ผู้สง่างามประทับอยู่บนสวรรค์ พวกเขาอธิษฐานให้พระเจ้านำคุณเข้ามาที่คริสตจักร และนำคุณมาที่พระคริสต์ เพื่อคุณจะได้กลับใจใหม่ และมีชีวิตนิรันดร์ในพระองค์ เหมือนอย่างบทเพลงเก่าๆที่ ท่าน กรีฟฟี่ได้ร้องก่อนเทศนา เพื่อบรรบายถึงสิ่งที่พวกเขาได้อธิษฐานให้คุณ

ฉันมีพระผู้ช่วย ขอพระเกียรติจงมีแด่พระองค์
   รัก ความรักของพระผู้ช่วย ผู้ไร้ญาติมิตรบนโลกนี้
และตอนนี้พระองค์ทรงเฝ้าดูข้าพเจ้าด้วยรัก
   แต่โอ้ พระผู้ช่วยของฉัน เป็นพระผู้ช่วยของคุณด้วย
ฉันได้อธิษฐานเผื่อให้คุณ ฉันได้อธิษฐานเผื่อให้คุณ
   ฉันได้อธิษฐานเผื่อให้คุณ ฉันได้อธิษฐานเผื่อให้คุณ

ถ้าคุณกำลังอธิษฐานเผื่อเพื่อนๆของเรา ผู้ที่ยังไม่ได้กลับใจใหม่ ให้ร้องท่อนรับให้กับพวกเขา!

ฉันได้อธิษฐานเผื่อให้คุณ ฉันได้อธิษฐานเผื่อให้คุณ
   ฉันได้อธิษฐานเผื่อให้คุณ ฉันได้อธิษฐานเผื่อให้คุณ
(“I Am Praying for You” by S. O’Malley Clough, 1837-1910).

(จบการเทศนา)
คุณสามารถอ่านบทเทศนาของ ดร. ฮิวเมอร์ ได้ในแต่ละอาทิตย์ทางอินเตอร์เนทได้ที่
www.realconversion.com. (กดที่นี่) “บทเทศนาในภาษาไทย”

You may email Dr. Hymers at rlhymersjr@sbcglobal.net, (Click Here) – or you may
write to him at P.O. Box 15308, Los Angeles, CA 90015. Or phone him at (818)352-0452.

อธิษฐานก่อนเทศนา โดย ดร. กรีนตัน เอล์ ชาน: มัทธิว 6:16-18
ร้องเพลงเดี่ยวพิเศษโดย มร. เบนจามิน คินเคดกรีฟท์:
“ฉันกำลังอธิษฐานเผื่อคุณ” (โดย S. O’Malley Clough, 1837-1910).