Print Sermon

เป้าหมายของเว็ปไซต์นี้คือจัดเตรียมบทเทศนาที่เขียนจากต้นฉบับ และในรูปแบบวีดีโอให้กับผู้รับใช้ และมิชชั่นนารีที่ไปรับใช้ในต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศในโลกที่สามที่ขาดแคลนพระคริสตธรรมหรือโรงเรียนอบรมพระคัมภีร์

ต้นฉบับของบทเทศนาเหล่านี้ถูกอ่านในคอมพิวเตอร์ประมาณ 1,500,000 เครื่อง และมากกว่า 221 ประเทศในแต่ละปี โปรดไปอ่านได้ที www.sermonsfortheworld.com ในขณะเดียวกันมีหลายร้อยคนดูวิดีโอบน YouTube และหลังจากนั้นคนเหล่านั้นก็จะย้ายจากดู YouTube มาอ่านเว็บไซต์ของเรา YouTube นำคนมาที่เว็บไซต์ของเรา บทเทศนาต้นฉบับนี้ถูกแปลออกเป็น 46 ภาษา และมีคนอ่านในคอมพิวเตอร์มากถึง 120,000 ทุก ๆ เดือน บทเทศนาต้นฉบับนี้ไม่สงวนลิขสิทธิ์ อนุญาตให้นักเทศนาสามารถนำไปใช้เทศน์ได้ นอกจากนี้ยังมีในรูปแบบวีดีโอเป็นร้อย ๆ ซึ่งเทศน์โดย ดร. ไฮเมอร์ส และนักศึกษาของท่าน บทเทศนาต้นฉบับไม่สงวน แต่จะสงวนเฉพาะในรูปแบบวีดีโอ กรุณาคลิกที่นี่เพื่อเรียนรู้ว่าจะสนับสนุนการประกาศพระกิตติคุณไปทั่วโลกได้อย่างไร

ตอนที่คุณเขียนหนังสือไปให้ ดร. ไฮเมอร์ส บอกท่านเสมอว่าคุณเขียนมาจากประเทศอะไร หรือท่านไม่ได้ตอบคุณ อีเมล์ของ ดร. ไฮเมอร์ส คือ rlhymersjr@sbcglobal.net




ทุกคนต้องไปประกาศข่าวประเสริฐ!

EVERY PERSON EVANGELIZING!
(Thai)

โดย ดร. อาร์ เอล ไฮเมอร์ส จูเนียร์
by Dr. R. L. Hymers, Jr.

เทศนาที่คริสตจักรแบ๊บติสต์เทเบอร์นาเคลในนครลอสแอนเจลิส
ช่วงเย็นวันของพระเป็นเจ้า 17 กันยายน ค.ศ. 2017
A sermon preached at the Baptist Tabernacle of Los Angeles
Lord’s Day Evening, September 17, 2017

“ต่อมาเมื่อกำลังเดินไป เขาทั้งหลายก็หายสะอาด”
(ลูกา 17:14).


ขณะที่พระ เยซูเสด็จผ่านแคว้นสะมาเรียและกาลิลี พระองค์ก็เสด็จมายังเมืองเล็ก ๆ ในเขตชานเมืองของหมู่บ้านนั้นมีคนโรคเรื้อนสิบคนอยู่ที่นั่น พวกเขา "ยืนห่างไกล" จากพระองค์ (17:12) ตามกฎหมายในพันธสัญญาเดิมเพื่อให้คนโรคเรื้อนต้องอยู่ห่างไกลจากผู้คนที่ เพื่อป้องกันการติดเชื้อโรค

“ละคนโรคเรื้อน…ร้องว่า มลทิน มลทิน จะต้องอยู่โดยลำพัง ที่อาศัยของเขาจะอยู่ข้างนอกค่าย” (เลวีนิติ 13:45-46)

คนโรคเรื้อนสิบคนนี้ได้ยินว่าพระเยซูทรงทำการอํศจรรย์ ดังนั้น พวกเขาร้องจากระยะไกลว่า "พระเยซูเจ้าขอทรงเมตตาต่อเราด้วย" (ลูกา 17:13) พระเยซูไม่ได้ทรงรักษาโรคเรื้อนให้หายในทันใดนั้น แต่พระองค์ก็สั่งให้ไปหาพวกปุโรหิตในพระวิหารที่กรุงเยรูซาเล็ม พระเยซูทรงทำเช่นนั้นด้วยเหตุผลสองประการ คือปฏิบัติตามพันธสัญญาเดิมซึ่งเขียนในเลวีนิติ 14: 1-20 โดยกล่าวว่าปุโรหิตเท่านั้นที่จะสามารถระบุได้ว่าใครที่เป็นโรคเรื้อนและหายดีหรือไม่ เหตุผลประการที่สองก็คือ "เป็นการประกาศ เป็นพยานให้กับปุโรหิตและชาวยิวคนอื่นๆให้ทราบถึงสิทธิอำนาจการรักษาของพระองค์" (Thomas Hale, The Applied New Testament, Chariot Victor Publishing, 1996, p. 236)

คนโรคเรื้อนสิบคนเชื่อฟังพระคริสต์และเริ่มไปยังพระวิหารในกรุงเยรูซาเล็ม นี้แสดงให้เห็นว่าความเชื่อ หรือไม่ก็ไม่เชื่อฟังพระองค์ แต่อย่างที่เราเห็นก็ไม่ใช่ความเชื่อเกี่ยวกับความรอด เขาทั้งหลายเชื่อฟังพระคริสต์ด้านภายนอก

“ต่อมาเมื่อกำลังเดินไป เขาทั้งหลายก็หายสะอาด” (ลูกา 17:14)

ร่างกายของพวกเขาหายจากการเป็นโรคเรื้อน ในขณะที่พวกเขาเดินทางจากแคว้นกาลิลีไปยังพระวิหารที่กรุงเยรูซาเล็ม

แต่มีชายคนหนึ่งหลังจากไปที่เยณูซ่เล็มแล้วกลับมาที่พระเยซูอีกครั้ง

“จึงกลับมาสรรเสริญพระเจ้าด้วยเสียงดัง และกราบลงที่พระบาทของพระองค์ ขอบพระคุณพระองค์ …” (ลูกา 17:15-16)

“แล้วพระองค์ [พระเยซู] ตรัสกับคนนั้นว่า “จงลุกขึ้นไปเถิด ความเชื่อของเจ้าได้กระทำให้ตัวเจ้าหายปกติ” (ลูกา 17:19)

ตอนนี้กับผมแล้วดูเหมือนว่าพระคำข้อนี้มีบทเรียนหลายอย่าง ผมจะไม่นำมากล่าวทั้งหมด แต่จะนำมาเพียงแค่สามข้อเท่านั้น

I. หนึ่ง ส่วนหนึ่งของการชำระนั้นมาจากการเชื่อฟังพระเยซูภายนอก

ชายทั้งสิบคนนี้ได้รับการรักษาจากโรคเรื้อนที่เป็นฝ่ายร่างกาย ถึงกระนั้นก็ตาม พวกเขาก็ไม่ได้หายทันทีที่พระเยซูทรงสัมผัสพวกเขา ส่วนหนึ่งหายในขณะที่พวกเขาเดินตามถนนไปยังวิหารในกรุงเยรูซาเล็ม แต่ใจของเขายังไม่ได้รับการรักษาให้หาย พระเยซูตรัสว่า "

“จงไปแสดงตัวแก่พวกปุโรหิตเถิด” ต่อมาเมื่อกำลังเดินไป เขาทั้งหลายก็หายสะอาด” (ลูกา 17:14)

คนที่เชื่อฟังพระคริสตากภายนอก เช่นจากโรคร้ายต่างนั่น ไม่ได้แสดงให้เห็นการเชื่อฟังพระอง๕อย่างสมบูรณ์ บรรดาผู้ที่มาคริสตจักรและทำตามธรรมนูญของคริสตจักรในขั้นพื้นฐานตามแบบคริสเตียนทั่วไป นี่ค้นพบว่าชีวิตของพวกเขาเริ่มมีระเบียบวินัยมากขึ้น นิสัยการเรียนของนักศึกษก็ส่งผลดียิ่งขึ้น พวกเขาก็สามารถควบคุมอารมณ์ได้ดีขึ้น โดยทั่วไปแล้วพวกเขากลายเป็นคนที่ประสบความสำเร็จและมีประสิทธิผลมากขึ้นในชีวิตมากกว่าผู้ที่ "หลงหายไป" อย่างคนในยุคสมัยนี้ (เอเฟซัส 4:14)

ชาว "โลก" มักคิดว่าการมาโบสถ์นั้นอันตรายต่อชีวิตของพวกเขา เพราะเสียเวลาเรียนและทำงาน บิดามารดาที่ไม่ใช่คริสเตียนมักคิดแบบนั้น พวกเขารู้สึกว่าการมาคริสตจักรทำให้พวกเขาห่างจากลูกๆมากเกินไป เพราะจะทำให้เด็กอาจมีผลการเรียนไม่ดี แต่เรากลับพบว่าในทางที่ตรงกันข้ามนั้นคือความจริง เมื่ออนุชนมาร่วมรับในคริสตจักร เราได้พบว่าพวกเขากลายเป็นนักเรียนที่ดีและมีผลการเรียนดี ส่วนคนที่ทำงานก็เป็นพนักงานที่ดี พวกเขาเรียนรู้ที่จะควบคุมการศึกษาของพวกเขา "แลกเวลา" (เอเฟซัส 5:16; โคโลสี 4: 5) เพราะได้รับการตักเตือนแนะนำจากผู้นำในคริสตจักรและจากตัวอย่างของสมาชิกในคริสตจักร พวกเขาจึงเห็นความสำคัญการศึกษาและการทำงาน แทนที่จะเป็นคนที่ "หลอกลวง" เหมือนชาวโลก ที่ทำเพื่อตัวเอง

ผมเชื่อว่าเรามีนักศึกษาที่เรียนตามสถาบันต่างๆที่อยู่ในระดับเปอร์เซ็นต์ที่สูงที่สุด และผมคิดว่านี่เป็นข้อพิสูจน์ว่าการเชื่อฟังพระเยซู "รับการชำระ” บรรดาผู้ที่เชื่อฟังพระองค์จากการเผชิญปัญหาจากภายนอกโดยคนที่ไม่ได้เข้าร่วมคริสตจักรท้องถิ่นและเข้าร่วมการประชุมดังกล่าว ในแต่ละปีนั้นก็พิสูจน์เรื่องนี้เป็นอย่างดี

II. สอง ความรอดที่สมบูรณ์คือประสบการณ์จากการมาที่พระเยซู

เก้าคนพอใจเมื่อได้รับการรักษาโรคภายนอก ตอนร่างกายได้รับการรักษาจากโรคเรื้อน แต่หนึ่งในนั้นไม่พอใจอย่างนั้น เพราะใจของเขาก็เป็นเหมือนติดโรคเรื้อนสกปรกสำหรับพระองค์ เขาจึงเดินกลับมาหาพระเยซูในสถานที่เดิม และแล้วเขาก็มากราบลงที่พระบาทของพระเยซู "ขอบคุณพระองค์" (ลูกา 17:16) กล่าวอีกนัยหนึ่งคือผู้ชายคนนี้มาที่พระเยซูคริสต์! เขามาหาพระเยซูคริสต์และพบพระองค์ที่นั่น ไม่เพียงแต่เขาจะได้รับรักษาทางกาย แต่ฃได้รับความรอดตอนที่กราบลงที่พระบาทของพระองค์

ถ้าคุณเข้าร่วมคริสตจักรของเรา เข้าร่วมการประชุมเป็นประจำ นั่นเป็นสิ่งที่ดีมากๆ เพราะจะช่วยชีวิตและการงานของคุณให้ดีด้วย แต่ที่มากกว่าขึ้นกว่านั้นเป็นคริสเตียนที่แท้จริง และมีชีวิตที่ดีขึ้นมีมากขึ้นเพื่อศาสนาคริสต์ที่แท้จริงเพียงแค่ช่วยให้คุณมีชีวิตที่ดีขึ้น! สำหรับคนที่มีชีวิตที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก พระเยซูตรัสว่า"

“อย่า [ตกใจ] ประหลาดใจที่เราบอกท่านว่า ท่านทั้งหลายต้องบังเกิดใหม่” (ยอห์น 3:7)

นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับคนโรคเรื้อนที่มาหาพระคริสต์ หลังจากที่เขาได้รับการชำระล้างร่างกายด้วยการเชื่อฟังพระเยซูแล้วเขาก็มาหาพระเยซูและล้มลงที่พระบาทของพระองค์และได้รับการดลใจจากภายใน และพระคริสต์ตรัสกับเขาว่า "

“ความเชื่อของเจ้าได้กระทำให้ตัวเจ้าหายปกติ” (ลูกา 17:19)

ผมเห็นด้วยกับ พระคัมภีร์ฉบับประยุกต์ใหม่ ถึงแม้ว่าผมปรารถนาที่จะอ้างจากพระคัมภีร์ฉบับคิงเจมส์ที่เชื่อถือได้ แต่ก็อธิบายได้ดีว่าเกิดอะไรขึ้นกับคนโรคเรื้อนที่ได้รับการรักษาจากพระเยซู เมื่อพระเยซูตรัสกับเขาว่า "ความเชื่อของเจ้าทำให้เจ้าหายโรค" ความเห็นดังกล่าวกล่าวว่า "พระเยซูไม่เพียงแต่หมายถึงว่าร่างกายของเขาหายดี แต่วิญญาณของเขาก็ดีขึ้นเช่นกัน เขาได้รับความรอด " (ibid., p. 341).

บางท่านมาที่โบสถ์ มันมีความสุขและช่วยให้คุณทำเช่นนั้น ขอบคุณพระเจ้าสำหรับเรื่องนี้ แต่บัดนี้เราขอให้ท่านก้าวไปอีกขั้นหนึ่งและรับความรอดเต็มรูปแบบโดยการมาหาพระเยซูด้วยความเชื่อและล้มลงต่อพระพักตร์พระองค์และวางใจในพระองค์หมดใจ

ท้ายที่สุดแล้ว พระคริสต์ไม่ได้ทนทุกข์ทรมานและสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนเพียงเพื่อให้คุณมีชีวิตที่ดีขึ้นในโลกนี้เท่านั้น เพราะมันมากกว่านั้น! พระองค์ทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนเพื่อให้บาปของคุณได้รับการอภัยและรับการชำระโดยพระโลหิตอันล้ำค่าของพระองค์ พระองค์ทรงเป็นขึ้นมาจากความตายแล้วและสถิตอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าพระบิดาเพื่อจะทรงประทานชีวิตนิรันดร์ให้แก่พวกท่าน ถ้าคุณมาหาพระเยซูโดยความเชื่ออย่างง่ายๆเช่นเดียวกับผู้ชายคนนี้คุณก็จะบังเกิดใหม่อีกครั้งตลอดกาลและนิรันดร์ ขอให้การบังเกิดใหม่นี้เกิดขึ้นให้กับคุณเร็วๆนี้! แต่ผมเชื่อว่ามข้อสามที่กำลังจะกล่าวและอยู่ในพระคัมภีร์ข้อนี้ เป็นการกล่าวว่าทุกคนต้องออกไปประกาศข่าวประเสริฐ

III. สาม การประกาศเริ่มต้นทันทีทันใด ก่อนที่จะกลับใจใหม่

โปรดจำว่าพระเยซูทรงรักตรัสให้กับคนเหล่านั้น ในขณะที่ยังไม่ได้กลับใจใหม่ (และยังไม่ได้บังเกิดใหม่)

“จงไปแสดงตัวแก่พวกปุโรหิตเถิด” ต่อมาเมื่อกำลังเดินไป เขาทั้งหลายก็หายสะอาด” (ลูกา 17:14)

พวกเขาถูกส่งมาโดยพระเยซู "เป็นพยานประจักษ์พยานแก่ปุโรหิตและชาวยิวอื่น ๆ " เพื่อบอกพวกเขาเกี่ยวกับพระเยซู (The Applied New Testament, ibid., p. 236) พวกเขาถูกส่งออกไปประกาศก่อนที่จะได้รับการรักษา และก่อนที่จะบังเกิดใหม่!

ตอนนี้ ไม่เป็นอย่างนั้น ? วันนี้คริสเตียนอีเวนเจลิคอล์ บอกกว่าการออกไปประกาศนั้น ต้องรอให้เป็นคริสเตียนที่เข้มแข็งก่อน ส่วนใหญ่คิดว่าคุณต้องเป็นคริสเตียนที่มีความเชื่อดี และรู้พระคัมภีร์เป็นเป็นอย่างดีก่อนแล้วค่อยส่งคนๆนั้นออกไปประกาศ ผมบอกว่านี่เป็นเรื่องไร้สาระที่สุด! คนโง่เท่านั้นที่บอกว่าต้องเป็นคริสเตียนที่เข้มแข็งก่อน แล้วค่อยเข้าร่วมการประชุมในคริสตจักร! แต่ผมตระหนักดีว่ามีคนโง่บางคนที่คิดเช่นนั้นอยู่! แต่ไม่ใช่สิ่งที่พระคัมภีร์สอนไว้ สาวกสิบสองถูกส่งออกโดยพระเยซูคริสต์ทันทีเพื่อประกาศข่าวประเสริฐ ตามลําดับเหตุการณ์ของยูสเชอร์ พวกสาวกถูกส่งไปเพื่อประกาศพระกิตติคุณในปีเดียวกับที่พระเยซูทรงเรียกพวกเขาให้ติดตามพระองค์ พวกเขาเป็นศิษย์ของพระองค์เพียงชั่วระยะเวลาสั้น ๆ ในปีนั้น ตอนที่พระองค์

“แล้วทรงเริ่มใช้เขาให้ออกไปเป็นคู่ ๆ …ฝ่ายเหล่าสาวกก็ออกไปเทศนาประกาศให้คนทั้งปวงกลับใจเสียใหม่” (มาระโก 6:7, 12).

อย่างน้อยที่สุดก็มีสาวกคนหนึ่ง (ยูดาส) ที่ไม่ได้กลับใจใหม่ ถึงอย่างนั้นก็ตามเขาก็ถูกส่งไปประกาศข่าวประเสริฐทันที ไม่ว่าจะกลับใจใหม่หรือไม่เข้มแข็งในความเชื่อหรือไม่ก็ตาม! พวกเขาออกไปประกาศข่าวประเสริฐ - ตามพระบัญชาของพระคริสต์!

ผมคิดว่าเราสามารถเรียนรู้วิธีการของพระคริสต์นี้ได้ การประกาศข่าวประเสริฐเป็นพระบัญชาของพระคริสต์:

“ท่านทั้งหลายจงออกไปและสั่งสอนชนทุกชาติ” (มัทธิว 28:19)

เราต้องรอเพื่อรับการฝึกอบรมก่อนที่เราจะเชื่อฟังพระองค์หรือไม่? คนโรคเรื้อนสิบคนไม่ได้รับการฝึกฝนก่อนที่พวกเขาจะออกไปประกาศพระกิตติคุณแก่ปุโรหิตและชาวยิวคนอื่น ๆ ทำไม พวกเขาแม้ยังไม่ได้รับความรอด! แต่พระเยซูคริสต์ก็ตรัสให้พวกเขาไปและเพื่อแสดงถึงการเชื่อฟังพระองค์โดยการประกาศข่าวประเสริฐแก่เหล่าบรรดาปุโรหิตทันทีทันใด พวกสาวกก็เป็นเช่นนั้น เป็นแค่ชาวประมงไม่มีความรู้ แต่พระเยซูคริสต์ได้ส่งพวกเขาทันทีแบบสองต่อสองเพื่อประกาศข่าวประเสริฐ

ผมคิดว่ทุกวันนี้าเราก็ควรต้องทำอย่างเดียวกัน เราจำเป็นต้องปฏิบัติตามแบบที่พระเยซูทรงทำเอาไว้ ใช่ การฝึกอบรมพระคัมภีร์แก่ผู้คนเป็นสิ่งที่จำเป็น แต่พวกเขาต้องเริ่มต้นด้วยการประกาศก่อนที่จะได้รับการฝึกอบรมอย่างเต็มที่ พวกเขาจำเป็นต้องไปประกาศก่อนที่พวกเขาจะได้ยินคำสอนทั้งหมดในพระคัมภีร์!

การฝึกคนนั้นไม่มีวันสิ้นสุด ในขณะเดียวกันก็ไม่สามารถนำคนมารับเชื่อได้หากไม่ส่งคนเหล่านั้นออกไปประกาศ คุณสามารถอธิบายพระคัมภีร์อย่างละเอียด และดีมากแก่คนเหล่านั้น แต่กลับไม่สามารถนำคนใหม่มารับฟังพระวจนะในแต่ละอาทิตย์ได้

มีความคิดไหนที่ทุกคนรู้ว่านั่นเป็นความจริง แต่ดูเหมือนว่าพวกเขาไม่ทราบว่าจะต้องทำอย่างไร แต่พระเยซูบอกเราว่าจะต้องทำอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ – ส่งพวกเขาออกไประกาศให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แม้ว่าไม่เคยผ่านการฝึกอบรม หรือกลับใจใหม่! ผมเชื่อว่าทุกคนในคริสตจักรควรออกไปประกาศข่าวประเสริฐ เพราะนี่เป็นเรื่องปกติเกี่ยวกับการเชื่อฟังพระคริสต์ และผมก็ยังเชื่ออีกนี่ก็สามารถรวมถึงคนที่มาเยี่ยมคริสตจักรของเราไม่ว่าครั้งหรือสองครั้ง

พวกเขาไม่จำเป็นต้องรู้อะไรมากนัก สิ่งที่พวกเขาต้องพูดคือว่า "มีสิ่งดีๆเกิดขึ้นที่คริสตจักรและอยากให้คุณไปที่นั่น" ง่ายๆอย่างนี้ จากนั้นให้นำหมายเลขโทรศัพท์และแจ้งให้ผู้นำคริสตจักรทราบเพื่อจะได้ติดตามคนเหล่านั้น เรามีคนที่มาเยี่ยมคริสตจักรของเราจำนวนในแต่ละวันอาทิตย์ก็โดยวิธีนี้ ผมสอนพระกิตติคุณในทุกๆวันอาทิตย์ ประกาศพระกิตติคุณเป็นสิ่งที่จำเป็น

ผมอยากแนะนำให้เรากลับไปหาวิธีง่ายๆที่พระเยซูทรงทำโดยส่งคนออกไปประกาศข่าวประเสริฐแก่ชาวโลก เพราะไม่มีวิธีอื่นที่ดีไปกว่าอีก หรือคุณคิดว่ามี? แต่ผมรู้ว่าวิธีการของพระเยซูจะนำผู้คนให้เข้ามาเต็มในคริสตจักรในทุกวันอาทิตย์ ดร. จอห์น อาร์. ไรซ์ มักกล่าวว่า "ความพยายามทั้งหมดเท่านั้นที่เป็นไปตามพระคัมภีร์พันธสัญญาใหม่และสามารถนำคนมารับเชื่อได้" (John R. Rice, D.D., Why Our Churches Do Not Win Souls, Sword of the Lord Publishers, 1966, p. 149) ผมเห็นด้วยทุกประการกับท่าน!

และอีกอย่างหนึ่ง คนต่างเติบโตในพระคริสต์เมื่อพวกเขาถูกส่งออกไปประกาศข่าวประเสริฐ ผู้เชื่อที่เฉยชาและไม่เติบโตในพระเจ้ากี่ปีๆก็เป็นอย่างนั้น เพราะคนพวกเขาไม่เคยออกไปประกาศข่าวประเสริฐ แต่ผมรู้ด้วยประสบการณ์ว่าพวกเขากลายเป็นคริสเตียนที่เข้มแข็งหากพวกเขาออกไปประกาศข่าวประเสริฐในทุกสัปดาห์ กุญแจสำคัญในการเติบโตของคริสเตียนคือการเชื่อฟังพระมหาบัญชาของพระคริสต์!

“ต่อมาเมื่อกำลังเดินไป เขาทั้งหลายก็หายสะอาด” (ลูกา 17:14)

ชีวิตของคุณจะเปลี่ยนไปในขณะที่คุณประกาศข่าวประเสริฐแก่ทุกคน! แล้วแน่นอนคุณต้องบังเกิดใหม่อีกครั้ง! ขอให้พระเจ้าทรงช่วยให้ทุกคนบังเกิดใหม่ ช่นเดียวกับที่คุณมาหาพระคริสต์โดยความเชื่อ จากนั้นคุณจะประสบความสำเร็จมากยิ่งขึ้นโดยการออกไปประกาศข่าวประเสริฐแก่คนที่หลงหาย ขอให้พระเจ้าดลใจของคุณ และออกไปประกาศข่าวและทำสิ่งนี้ให้เร็วที่สุด อาเมน

ตอนที่คุณเขียนหนังสือไปให้ ดร. ไฮเมอร์ส บอกท่านเสมอว่าคุณเขียนมาจากประเทศอะไร หรือท่านไม่ได้ตอบคุณ หากคุณได้รับพระพรจากบทเทศนานี้ ดร. ไฮเมอร์ส อยากจะได้ยินจากคุณ ตอนที่เขียนจดหมายถึง ดร. ไฮเมอร์ส กรุณาบอกท่านว่าคุณเขียนมาจากประเทศอะไร หรือหากท่านไม่อาจตอบอีเมลล์ของท่าน หากบทเทศนานี้เป็นพระพรให้กับคุณ กรุณาเขียนอีเมล์ส่งไปให้ ดร. ไฮเมอร์ส และบอกท่านว่าคุณเขียนมาจากประเทศอะไร และนี่คืออีเมล์ของดร.ไฮเมอร์ส – rlhymersjr@sbcglobal.net (คลิกที่นี่) คุณสามารถเขียนถึง ดร. ไฮเมอร์ส ในภาษาของคุณ แต่หากเป็นไปได้ก็ขอให้เขียนเป็นภาษาอังกฤษ หรือเขียนส่งจดหมายส่ง ดร. ไฮเมอร์ส ทางไปรษณีตามที่อยู่นี้ P.O. Box 15308, Los Angeles, CA 90015. คุณสามารถโทรศัพท์ไปท่านได้ที่ (818)352-0452

(จบการเทศนา)
คุณสามารถอ่านบทเทศนาของ ดร.ไฮเมอร์ส ในแต่ละสัปดาห์ทางอินเทอร์เน็ทได้ที่
at www.sermonsfortheworld.com.
คลิกที่นี่) “บทเทศนาในภาษาไทย”

หมายเหตุ: ต้นฉบับของบทเทศนาเหล่านี้ไม่ได้สงวนลิขสิทธิ์
คุณสามารถนำไปใช้โดยที่ไม่ต้องขออนุญาตจาก ดร. ไฮเมอร์ส
แต่อย่างไรก็ตามข้อความทั้งหมดของ ดร. ไฮเมอร์ส
ที่อยู่ในรูปวิดีโอนั้นมีการสงวนลิขสิทธิ์และต้องได้รับการอนุญาตเท่านั้นถึงจะสามารถนำมาใช้ได้

อ่านพระคัมภีร์ก่อนเทศนาโดยท่าน ดร. กรีนตัน เอล ชาน: ลูกา 17:11-19.
ร้องเพลงเดี่ยวพิเศษโดยท่าน เบนจามิน คินเคท กรี่ฟฟี่:
“So Little Time” (Dr. John R. Rice, 1895-1980).


โครงร่างของ

ทุกคนต้องไปประกาศข่าวประเสริฐ

EVERY PERSON EVANGELIZING!

โดย ดร. อาร์ เอล ไฮเมอร์ส จูเนียร์
by Dr. R. L. Hymers, Jr.

“ต่อมาเมื่อกำลังเดินไป เขาทั้งหลายก็หายสะอาด” (ลูกา 17:14)

(ลูกา 17:12; เลวีนิติ 13:45-46; ลูกา 17:13, 14, 15-16, 19)

I.   หนึ่ง ส่วนหนึ่งของการชำระนั้นมาจากการเชื่อฟังพระเยซูภายนอก, ลูกา 17:14; เอเฟซัส 4:14; 5:16;
โคโลสี 4:5

II.  สอง ความรอดที่สมบูรณ์คือประสบการณ์จากการมาที่พระเยซู ลูกา 17:16; ยอห์น 3:7; ลูกา 17:19

III. สาม การประกาศเริ่มต้นทันทีทันใด ก่อนที่จะกลับใจใหม่, ลูกา 17:14; มาระโก 6:7, 12; มัทธิว 28:19