Print Sermon

เป้าหมายของเว็ปไซต์นี้คือจัดเตรียมบทเทศนาที่เขียนจากต้นฉบับ และในรูปแบบวีดีโอให้กับผู้รับใช้ และมิชชั่นนารีที่ไปรับใช้ในต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศในโลกที่สามที่ขาดแคลนพระคริสตธรรมหรือโรงเรียนอบรมพระคัมภีร์

ต้นฉบับของบทเทศนาเหล่านี้ถูกอ่านในคอมพิวเตอร์ประมาณ 1,500,000 เครื่อง และมากกว่า 221 ประเทศในแต่ละปี โปรดไปอ่านได้ที www.sermonsfortheworld.com ในขณะเดียวกันมีหลายร้อยคนดูวิดีโอบน YouTube และหลังจากนั้นคนเหล่านั้นก็จะย้ายจากดู YouTube มาอ่านเว็บไซต์ของเรา YouTube นำคนมาที่เว็บไซต์ของเรา บทเทศนาต้นฉบับนี้ถูกแปลออกเป็น 46 ภาษา และมีคนอ่านในคอมพิวเตอร์มากถึง 120,000 ทุก ๆ เดือน บทเทศนาต้นฉบับนี้ไม่สงวนลิขสิทธิ์ อนุญาตให้นักเทศนาสามารถนำไปใช้เทศน์ได้ นอกจากนี้ยังมีในรูปแบบวีดีโอเป็นร้อย ๆ ซึ่งเทศน์โดย ดร. ไฮเมอร์ส และนักศึกษาของท่าน บทเทศนาต้นฉบับไม่สงวน แต่จะสงวนเฉพาะในรูปแบบวีดีโอ กรุณาคลิกที่นี่เพื่อเรียนรู้ว่าจะสนับสนุนการประกาศพระกิตติคุณไปทั่วโลกได้อย่างไร

ตอนที่คุณเขียนหนังสือไปให้ ดร. ไฮเมอร์ส บอกท่านเสมอว่าคุณเขียนมาจากประเทศอะไร หรือท่านไม่ได้ตอบคุณ อีเมล์ของ ดร. ไฮเมอร์ส คือ rlhymersjr@sbcglobal.net




อธิษฐานสำาหรับการฟื้นฟู

PRAYING FOR REVIVAL
(Thai)

โดย ดร. อาร์ เอล ไฮเมอร์ส จูเนียร์
by Dr. R. L. Hymers, Jr.

บทเทศนาที่คริสตจักรแบ๊บติสต์ในนครลอสแอนเจลิส
ในตอนเย็นวันศุกร์ที่ 16 สิงหาคม ค.ศ. 2016
A sermon preached at the Baptist Tabernacle of Los Angeles
Friday Evening, August 19, 2016


กรุณาเปิดไปที่กิจการ 1:8 ซึ่งอยู่ในหน้าที่ 1148 ในพระคัมภีร์ฉบับ the Scofield Study Bible นี่เป็นพระคำ ที่พระคริสต์ทรงตรัสให้คริสเตียนทุกคน

“แต่ท่านทั้งหลายจะได้รับพระราชทานฤทธิ์เดช เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์จะเสด็จมาเหนือท่าน และท่านทั้งหลายจะเป็นพยานฝ่ายเราทั้งในกรุงเยรูซาเล็ม ทั่วแคว้นยูเดีย แคว้นสะมาเรีย และจนถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก” (กิจการ 1:8).

พวกคุณนั่งลงได้

นักเทศน์บางคนบอกว่า นี่หมายถึงการส่งพระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จมาในวันเพนเทคอสเท่านั้น นอกจากนี้พวกเขายังบอกอีกว่า อย่าได้คาดหวังว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์จะเสด็จลงมาให้เราเหมือนสมัยนั้นอีกครั้ง นั่นเป็นเพราะพวกเขากลัวว่าคนของพวกเขาจะกลายเป็นพวกเพนเทคอส ถ้าบอกให้พวกเขาว่าพระวิญญาณยังจะเสด็จลงมาในวันนี้ด้วย ดังนั้นการที่พวกเขาหยุดสอนความเชื่อเช่นนี้ เพราะกลัวการเป็นเพนเทคอส แต่พวกเขาผิดที่ไม่ยอมเชื่อเรื่องการเสด็จมาของพระวิญญาณบริสุทธิ์ แปดคำสุดท้ายในพระธรรมของเรานี่แสดงว่าพวกเขาผิด "และจนถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก" ฉบับแปลปัจจุบันกล่าวว่า "และส่วนหนึ่งที่ห่างไกลของโลก" ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาคริสเตียนยังไม่เคยไปถึง "ปลาย" หรือ "ห่างไกล" ของโลก พระเยซูกำลังกล่าวให้กับคริสเตียนทุกคน และทุกยุคทุกสมัย ทรงตรัสให้คนสมัยก่อน และให้กับพวกเรา "ท่านจะได้รับอำนาจหลังจากนั้นที่พระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จมา" นี่คือสิ่งที่พิสูจน์โดยเปโตรในหลังจากนั้น ตามที่ปรากฏในกิจการ 2:39

“ด้วยว่าพระสัญญานั้นตกแก่ท่านทั้งหลายกับลูกหลานของท่านด้วย และแก่คนทั้งหลายที่อยู่ไกล คือทุกคนที่องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของเราทรงเรียกมาเฝ้าพระองค์” (กิจการ 2:39)

ดังนั้นสาวกทั้งสองจึงกลับไปยังกรุงเยรูซาเล็ม และเข้าไปอธิษฐานในห้องชั้นบน พวกเขาอธิษฐานขออะไร? พวกเขาอธิษฐานขออำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ตามพระสัญญาของพระเยซูที่ทรงตรัสว่า "แต่ท่านจะได้รับอำนาจหลังจากนั้นที่พระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จมา" (กิจการ 1: 8) ผมเห็นด้วยกับเลน เอช เมอร์เร เขาพูดว่า

ในขณะที่เพนเทคอสเป็นบ่อเกิดแห่งยุคใหม่ การทำงานของพระคริสต์ผ่านทางพระวิญญาณไม่ได้จบลงในสมัยนั้น และการสื่อสารของพระวิญญาณซึ่งเป็นเครื่องหมายให้กับ [คริสเตียน] ทุกยุค โดยในวันเพนเทคอสอายุและต่อเนื่องและไม่เคยเปลี่ยนแปลง อะไรคือเป้าหมายของการอธิษฐานเหมือนอย่างพวกสาวก? มันเป็นการตอบข้ออธิษฐาน 'สอนเราอธิษฐาน' พระเยซูตรัสว่า: “พราะฉะนั้น ถ้าท่านทั้งหลายเองผู้เป็นคนชั่ว ยังรู้จักให้ของดีแก่บุตรของตน ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด พระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในสวรรค์ จะทรงประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์แก่ผู้ที่ขอต่อพระองค์” (ลูกา 11:13) พระสัญญานี้ไม่มีประทานให้คริสเตียนยกเว้นอยากจะได้รับ (Iain H. Murray, Pentecost Today? The Biblical Understanding of Revival, The Banner of Truth Trust, 1998, p. 21)

อเล็กซานเด มูดี้ สจวร์ตกล่าวว่า "ในขณะที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ยังทำงานในคริสตจักรของพวกเขา มีเวลาที่นำาเข้ามาใกล้และทำให้มีพลังอำนาจ"(Murray, ibid., p. 22)

แต่เราได้เห็นการฟื้นฟูที่ใหญ่ๆเพียงไม่กี่ครั้งนับตั้งแต่ 1859 แน่นอนน้อยมาก ผมเชื่อว่าเหตุผลหลักที่เป็นความจริงนั่นเป็นเพราะว่ามีพวกคริสเตียนที่เรียกว่า อีเวนเจลิคอล์ พวกเขาส่วนใหญ่ไม่เชื่อว่าการกลับใจใหม่นั้นเป็นฤทธิ์เดช พวกอีเวนเจลิคอล์ในทุกวันนี้ยังคิดว่าการกลับใจใหม่ไม่มีอะไรมากไปกว่าการตัดสินใจของมนุษย์เอง พวกเขาคิดว่าสิ่งที่คุณต้องทำคือการชักชวนให้คนที่หลงหายกล่าวตามคำพูดที่เรียกว่า "คำอธิษฐานของคนบาป" เพียงแค่พูดคำเหล่านั้นและคุณก็จะรอด! โจเอล ออสติน กล่าวอย่างนั้นในทุกตอนท้ายของการเทศนา ให้คนพูดตามนั้น จากนั้นเขาก็กล่าวว่า "เราเชื่อว่าถ้าคุณพูดเช่นนี้ เพียงแค่นี้คุณก็ได้บังเกิดใหม่อีกครั้ง" คุณเห็นหรือยังถ้าเป็นอย่างนี้จริงก็แสดงว่าไม่มีความจำเป็นสำหรับพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่จะต้องการมหัศจรรย์! ถ้าคุณพูดเช่นนี้ “เพียงแค่นี้คุณก็ได้บังเกิดใหม่อีกครั้ง"

นี่นำ เรากลับไปในยุคสมัยก่อนอย่างพวก ปีลาเจียนนิยม หรือ Pelagianism - หลักคำสอนที่สอนว่ามนุษย์สามารถนำมาซึ่งความรอดให้กับตัวเอง - ในกรณีนี้โดยกล่าวว่าแค่ท่องคำเพียงไม่กี่คำ! หรือโดยการออกมาหรือ "ไปข้างหน้า" ในช่วงนมัสการ - หรือโดยการยกมือของคุณ! "ทุกท่านที่ต้องการจะรอดก็ขอให้แค่ยกมือขึ้น" นี่คือพวกปีลาเจียนนิยม ! กลับไปในยุคโบราณที่ละท้ิงความเชื่อ ซึ่งสอนว่าคนที่หลงหายไปสามารถช่วยกู้ตัวเองจากการกระทำบางอย่างหรือโดยการพูดตามบทอธิษฐานของคนบาป ผมเรียกมันว่า “อธิษฐานมายากล" มันเป็นจริงอย่างนั้น "เวทมนตร์" มันมากกว่าการเป็นคริสเตียน เพราะในเวทมนตรนั้นคุณเพียงแค่ท่องบางคำหรือทำบางอย่าง และผลลัพธของคำพูดหรือการกระทำเหล่านั้นสร้างส่ิ่งที่เหนือธรรมชาติ "เวทมนตร์" ความคิดเหล่านี้มันผ่านทางความคิดของพวกอีเวนเจลิคอล์ในสมัยนี้เช่นกัน! เพื่อรู้ถึงความจริงเรื่องลองไปอ่านหนังสือของ เดวิด มิลล์ เบนเน็ตต์, The Sinner’s Prayer: Its Origins and Dangers, แม้กระทั่งก่อนที่สำนักพิมพ์ สามารถหาได้จาก Amazon.com.

การกลับใจใหม่ที่แท้จริงนั้นคือความมหัศจรรย์ กรุณาเปิดพระคัมภีร์กับผมไปที่มาระโกทำ 10:26 อยู่ในหน้า 1059 ในการศึกษาพระคัมภีร์ Scofield หรือ the Scofield Study Bible

“เหล่าสาวกก็ประหลาดใจยิ่งนักจึงพูดกันว่า ถ้าอย่างนั้นใครจะรอดได้? พระเยซูทอดพระเนตรเหล่าสาวกแล้วตรัสว่า ฝ่ายมนุษย์ย่อมเป็นไปไม่ได้ แต่ไม่เป็นแบบนั้นกับพระเจ้า เพราะว่าพระเจ้าทรงกระทำให้เป็นไปได้ทุกสิ่ง…” (มาระโก 10:26, 27)

พวกเขาถามว่า "ถ้าอย่างนั้นใครจะรอดได้" พระเยซูตรัสตอบว่า "ฝ่ายมนุษย์ย่อมเป็นไปไม่ได้" คนที่อยู่ในสถานะบาปไม่สามารถทำอะไรให้ตัวเองรอดได้! แต่แล้วพระเยซูตรัสว่า "แต่ไม่เป็นแบบนั้นกับพระเจ้า เพราะว่าพระเจ้าทรงกระทำให้เป็นไปได้ทุกสิ่ง" ความรอดของคนๆหนึ่งคือฤทธิ์เดชของพระเจ้า! ปีนี้เราได้เห็นคนที่กลับใจใหม่หลายคนด้วยกัน แต่ละการกลับใจใหม่นั้นคือความมหัศจรรย์ พอล คุก กล่าวถูกต้องว่า "ลักษณะของการฟื้นฟูจะไม่แตกต่างจากลักษณะของการทำงานแบบปกติใด ๆ ของพระวิญญาณบริสุทธิ์ยกเว้นในแง่ของความรุนแรงและขอบเขต"(Fire From Heaven, EP Books, 2009, p. 117)

เมื่อคนคนหนึ่งกลับใจใหม่นั่นเป็นความอัศจรรย์จากพระเจ้า เมื่อจำนวนมากมายกลับใจใหม่ในระยะเวลาสั้น ๆ มันเป็นความมหัศจรรย์จากพระเจ้า ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวคือ "ในแง่ของความรุนแรงและขอบเขต" เมื่อเราอธิษฐานสำหรับการฟื้นฟูเราจะขอให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงทำงานในใจของหลายคนด้วยกัน

พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงทำาอะไรในการกลับใจใหม่นั้น? อันดับแรก "เมื่อพระองค์นั้นเสด็จมาแล้ว พระองค์จะทรงกระทำให้ (รับรูั) ... ความบาป" (ยอห์น 16: 8) พอล คุก กล่าวว่า "คนที่ไม่เคยถูกทำ ให้รู้ว่าธรรมชาติของพวกเขานั้นเป็นคนบาป เพราะโดยธรรมชาติของพวกเขาจะไม่ยอมรับอย่างนั้น งานเฉพาะของพระวิญญาณคือทำ ให้รับรู้ และเมื่อพระวิญญาณทำงานแล้วจะรู้ว่าบาปกลายเป็นส่ิงน่าเกลียด [น่ากลัวน่ารังเกียจ] นำบุคคลนั้นมาเกลียดมันและทิ้งมันไป" ผู้หญิงคนหนึ่งกล่าวว่า "ฉันรู้สึกขยะแขยงกับตัวเอง" นั่นคือความหมายของความเชื่อที่ผมเคยมี และเห็น "ผมเบื่อหน่ายตัวเอง" หากคุณไม่มีความเชื่อเช่นนี้นั่นก็ไม่ใช่การกลับใจใหม่ที่แท้จริง ดังนั้นเราจึงต้องอธิษฐานขอให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ ทรงให้ให้เราเชื่อว่ามีความบาปให้กับผู้ที่ยังไม่ได้รับความรอด

สิ่งที่สองที่พระวิญญาณบริสุทธทรงทำในการกลับใจใหม่คือทำให้คนบาปรู้จักพระเยซู พระเยซูทรงตรัสว่า "เพราะว่าพระองค์จะทรงเอาสิ่งที่เป็นของเรามาสำแดงแก่ท่านทั้งหลาย" (ยอห์น 16:14) ฉบับแปลปัจจุบันกล่าวว่า "เขาจะ...เพราะว่าพระองค์จะทรงเอาสิ่งที่เป็นของเรามาสำแดงแก่ท่านทั้งหลายคือสิ่งที่ฉันและทำให้มันเป็นที่รู้จักกับคุณ" คนที่หายหลงหายจะไม่รู้จักพระคริสต์เว้นแต่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงทำให้เขารู้จัก แต่ถ้าคุณยังไม่ได้ถูกพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเปิดเผยให้รับรู้ในบาปนั้นจะไม่ทำให้คริสต์ที่แท้จริงให้กับคุณในความรอด (Brian H. Edwards, Revival, Evangelical Press, 2004 edition, p. 80)

หนึ่งในเหตุผลที่พวกเขาไม่รู้การอธิษฐานนั่นเป็นเพราะว่า คริสเตียนส่วนใหญ่ในทุกวันนี้ไม่เห็นถึงความจำเป็นที่ว่าคนในทุกวันนี้น่าจะทราบถึงความบาป และพวกเขาไม่เชื่อการกลับใจใหม่แบบ "วิกฤต" เหมือนอย่างบรรพบุรุษของเราในสมัยก่อนทำ กัน แต่ผมต้องบอกคุณว่าเราจะต้องอธิษฐานขอให้พระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จลงมาและนำาผู้ที่ไม่เชื่อมาคริสตจักร หากพวกเขาไม่เชื่อเรื่องบาปไม่มีทางที่่พวกเขาจะได้รับความรอด

อีกเหตุผลหนึ่งคือพวกอีเวนเจลิคอล์ส่วนใหญ่ไม่รู้จะอธิษฐาน และไม่รู้ถึงการกลับใจแบบ "วิกฤต" เหมือนบรรพบุรุษของเราทำ กัน บรรพบุรุษของเราบอกว่าคนที่มารับรู้เรื่องบาปคือผู้ที่ "ตื่นขึ้น" แต่ยังไม่ได้รอด บรรพบุรุษของเรากล่าวว่าผู้ที่ตื่นขึ้นแล้วคือผู้ที่ผ่านความทุกข์ทรมานและหันหลังให้กับบาป เหมือนกับผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังจะผ่านอาการปวดเพราะจะคลอดลูก เฉพาะวิธีนี้บรรพบุรุษของเราจึงกล่าวว่าอาจจะเป็นคนที่มีประสบการณ์อย่างแท้จริงถึงการเปลี่ยนแปลง (cf. the conversion of “Christian” in Pilgrim’s Progress)

จอห์น ซามูเอล คือผู้ที่มีประสบการณของการกลับใจใหม่แบบวิกฤตที่ชัดเจน แปลงของเขาเป็นเช่นนั้นของจอห์นบันยันไม่ชอบความรอดที่เรียกว่า evangelicals ทันสมัย

      ก่อนที่จะกลับใจใหม่นั้นรู้สึกเหมือนกำลังจะตาย ... ผมไม่สามารถพบกับความสงบสุขใด ๆ ... ในเวลานั้นพระวิญญาณบริสุทธิ์เริ่มมาทำให้ผมรับรู้ในบาปของผม แต่ตลอดชีวิตของผมเป็นคนที่ปฏิเสธความคิดเกี่ยวกับพระเจ้าและการกลับใจใหม่ ผมปฏิเสธที่จะคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ผมรู้สึกทรมานมาโดยตลอด มีเช้าวันอาทิตย์ของวันที่ 21 มิถุนายน 2009 ผมได้หมดอย่างทั่วถึง ผมเหนื่อยมาก ผมเริ่มเกลียดตัวเองและเกลียดบาปของตัวเองที่ทำให้ผมรู้สึกอย่างนั้น
      ขณะที่ ดร. ไฮเมอร์ส กำ ลังเทศนาอยู่นั้น ความหย่ิงผยองที่อยู่ในใจทำให้ผมปฏิเสธและไม่ฟังคำาเทศนานั้น แต่ในขณะที่เขาเทศนาอยู่นั้น ผมรู้สึกว่าบาปของผมมีอยู่เต็มอยู่ในใจ ผมนับบาปเหล่านั้นเพื่อรอเวลาหมดการเทศนา แต่อาจารย์ยังคงเทศนาต่อไป และบาปของผมกลับย่ิงเลวร้ายลงเรื่อยๆ ผมไม่สามารถอยู่อย่างนั้นอีกต่อไป ผมต้องรอด! แต่ในขณะที่ท่านเชิญชวนนั้นผมก็ยังปฏิเสธ แต่ผมก็ไม่สามารถทนมันต่อไป ผมรู้ว่าผมเป็นคนบาปที่เลวร้ายที่สุด และพระเจ้าต้องทิ้งผมลงที่ผมลงไปนรก ผมต่อสู้และเหนื่อยและเบื่อหน่ายทุกอย่างที่ผมเป็น อาจารย์ให้คำปรึกษาให้กับผมและบอกผมว่าจงมาที่พระคริสต์ แต่ผมก็ไม่ยอม แม้ในขณะที่ผมเชื่อเรื่องบาป ผมก็ยังไม่มีพระคริสต์
      นี่เป็นช่วงเวลาทร่เลวร้ายที่สุด ผมรู้สึกราวกับว่าไม่สามารถที่จะรอดได้จะต้องไปลงนรก ผมก็ "พยายาม" ที่จะทำาตัวเองให้รอด “พยายาม" ที่จะไว้วางใจในพระคริสต์แต่ก็ไม่อาจที่จะทำาได้ ผมไม่อาจยอมจำานนให้กับพระคริสต์ และด้วยเหตุนี้ผมจึงเป็นคนที่ไร้ความหวัง ผมรู้สึกว่าบาปของผมนั้นกำลังผลักดันให้ผมลงไปในนรก ผมต่อสู้ตัวเองเป็นอย่างมาก
      ทันใดนั้น คำพูดต่างๆที่อยู่ในบทเทศนาเทศน์เมื่อหลายปีที่ผ่านมาก่อนก็เข้ามาในใจของผม "ยอมจำานนต่อพระคริสต์" เพราะความคิดนี้ทำให้ผมต้องยอมให้พระเยซู และสิ่งต่างๆที่คิดว่าไม่เคยได้จากพระคริสต์ ตอนนี้พระเยซูได้มอบชีวิตของพระองค์ให้กับผม พระเยซูเสด็จทร่แท้จริงได้ไปที่กางเขนถูกตรึงเพื่อผมแม้ในขณะที่ผมยังเป็นศัตรูและไม่ยอมจำานนให้กับพระองค์ ความคิดนี้ทำาให้ผมรู้ความจริง ผมต้องปล่อยสิ่งต่างๆออกไปเพราะไม่อาจยืดมันได้อีก ผมจะต้องได้พระเยซู! ในขณะที่ผมยอมจำานนต่อพระองค์นั้นและพระเยซูได้เข้ามาอยู่ในใจโดยทางความเชื่อ ในช่วงเวลานี้คือผมปล่อยให้ตัวเองตาย และพระเยซประทานชีวิตใหม่ให้กับผม! นี่ไม่มีการกระทำหรือความประสงค์ทางจิตของผม แต่หมดทั้งหัวใจ และผมเองก็เข้ามาพักอยู่ในพระคริสต พระองค์ช่วยผมให้รอด! ทรงชำระล้างบาปของผมด้วยโลหิตของพระองค์! ในช่วงเวลานี้ผมจึงหยุดต่อต้านพระคริสต์ ส่ิงที่ชัดเจนที่ผมต้องทำคือวางใจพระองค์ ผมสามารถรับรู้ได้ทันทีว่าเพียงพระคริสต์เท่านั้นทีาช่วยผมได้ ผมได้ยอมให้กับพระองค์แล้ว! นี่ไม่ใช่ความรู้สึกทางฝ่ายร่างกายหรือแสงสว่าง ผมไม่ได้ต้องการความรู้สึกอีก ผมมีพระคริสต์แล้ว! ความวางใจในพระคริสต์ทำให้บาปของผมถูกยกออกจากจิตวิญญาณของผม ผมหันจากบาปของผมและมองไปที่พระเยซูผู้เดียว! พระเยซูทรงช่วยผมให้รอด
      ทำาไมพระเยซูต้องรักผมและทรงให้อภัยคนบาปอย่างผมที่เติบโตขึ้นมาในคริสตจักรแต่ยังคงหันหลังให้กับพระองค์ ดูเหมือนจะเป็นเพียงคำพูดสั้นๆที่เล่าถึงประสบการณ์การกลับใจใหม่ และการแสดงออกถึงความรักของผมต่อพระคริสต์ พระคริสต์ทรงมอบชีวิตของพระองค์ให้กับผมและสทุกสิ่งที่ผมมีก็เพื่อพระองค์ พระเยซูทรงสละบัลลังก์ของพระองค์ไปที่กางเขนเพื่อผม แม้ว่าผมดูถูกคริสตจักรของพระองค์และเยาะเย้ยความรอดของพระองค์ ทำาไมผมจึงไม่ประกาศความรักและความเมตตาของพระองค์? พระเยซูทรงแบกความเกลียดชังและความโกรธของผมออกไป และประทานความรักแทน พระองค์ประทานมากกว่าเพียงแค่การเริ่มต้นใหม่ - พระองค์ประทานมีชีวิตใหม่ให้ผม

ผมเห็นด้วยกับ ดร. มาร์ติน ลอยด์โจนส์ ที่ว่าอัครสาวกเปาโลทำให้เรามีตัวอย่างที่แท้จริงของการกลับใจใหม่ตามที่ปรากฎในโรม 7 ดร. ลอยด์โจนส์กล่าวว่าข้อนี้อธิบายการกลับใจใหม่ของเปาโล ผมเห็นด้วย เปาโลกล่าวว่า

“โอ ข้าพเจ้าเป็นคนเข็ญใจจริง ใครจะช่วยข้าพเจ้าให้พ้นจากร่างกายแห่งความตายนี้ได้?” (โรม 7:24)

นี่คือการทำาให้รับรู้! - เมื่อคนบาปยอมแพ้ตัวเองและเบื่อหน่ายบาปของตัวเองที่ทำ ให้เขาเป็นทาส เปาโลยังกล่าวอีกว่า

“ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระเจ้า โดยทางพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา ” (โรม 7:25)

นั่นคือการกลับใจใหม่ - เมื่อคนบาปได้รับการปลดปล่อยโดยพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้า! ที่นี่และเป็นครั้งแรก นั่นคือคนบาปที่ถูกทำให้รับรู้ว่าเป็นคนที่ไร้ความหวังและเป็นทาสของบาป สุดท้ายหันมาที่พระเยซูและได้รับการชำระทบาปโดยพระโลหิตของพระองค์ หนึ่งในโศกนาฏกรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคของเรานี้ก็คือว่าพวกอีเวนเจลิคอล์ส่วนใหญ่ไม่เคยอนุญาตให้ใครก็ตามผ่านทั้งสองประสบการณ์ที่สำคัญนี้ ส่ิงที่พวกเขาทำคือให้พูดตามคำอธิษฐานของคนบาป ผมเชื่อว่าเหตุผลเดียวที่สำคัญที่สุดที่ประเทศอเมริกาของเราไม่มีการฟื้นฟูนับตั้งแต่ 1859

ดังนั้นเหล่านี้เป็นสิ่งที่คุณต้องอธิษฐาน และเป็นส่ิงที่จำเป็นมากถ้าคุณต้องการให้คริสตจักรของเราได้สัมผัสกับการฟื้นฟู อันดับแรกให้อธิษฐานขอให้พระเจ้าทรงส่งพระวิญญาณของพระองค์จะทำให้คนที่หลงหายรับรู้บาป ประการที่สองให้อธิษฐานขอพระวิญญาณของพระเจ้าทรงเปิดเผยให้พวกเขาเห็นพระเยซูและได้รับการให้อภัยโดยการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนและชำระจากบาปโดยพระโลหิตของพระองค์ที่มีค่า!

อาจารย์ ไบรอัน เอช เอ็ดเวิร์ด กล่าวว่าการอธิษฐานแห่งการฟื้นฟูจะเน้นการ "กลับใจใหม่ (รับรู้) และ ไม่รับรู้" (Revival, Evangelical Press, 2004 edition, p. 127) เพราะผู้ที่กลับใจใหม่อาจจะหลงหายไปก็ได้ ที่คริสตจักรแบ๊บติสแรกจีนที่หนึ่งการฟื้นฟูเริ่มที่คนที่รับรู้ว่าใจของเขามีบาป พวกเขาเริ่มที่จะสารภาพบาปอย่างเปิดด้วยน้ำตาต่อหน้าทุกคน บางคนที่มีความขมขื่อต่อคนอื่น ๆ ในคริสตจักร บางคนละเลยบาปที่มีอยู่ในชีวิตของพวกเขาเป็นเวลานาน พวกเขาไม่รับรู้ความผิดบาปของพวกเขา และบอกว่าอย่าไปใส่ใจมันเลย แต่เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จลงมา ใจของเขาจะถูกทำลาย พวกเขาจะรู้ว่าพวกเขาเยือกเย็นและไม่เคยอธิษฐาน พวกเขามารู้ว่าขมขื่นและโกรธคนอื่น ๆ ในคริสตจักร ส่วนคนอื่น ๆ ปฏิเสธที่จะที่จะรับรู้ว่าพระเจ้าต้องการให้พวกเขาทำอะไร

อาจจะมีคริสเตียนในคริสตจักรของเราที่ปฏิเสธที่จะเชื่อฟังพระเจ้าในบางอย่าง นี้สามารถขัดขวางไม่ให้มีการฟื้นฟู! ตอนที่มีการฟื้นฟที่พระคริสตธรรมอัสบุรี่ ที่วิวมอร์ รัฐเคนตั๊กกี้ในปี 1970 มีนักศึกษาหลายร้อยคนกลับใจใหม่อย่างแท้จริงรู้สึกว่าพวกเขาจะต้องสารภาพต่อ ... สาธารณชน พวกเขายืนเป็นแถวยาวเป็นเวลาหลายชั่วโมงรอไมโครโฟนในโบสถ์เพื่อพวกเขาจะสารภาพ ... [ไม่เชื่อฟัง] ของพวกเขาและขอให้ อธิษฐานเผื่อ

ชายคนที่นำการประชุมอัสบิวรี่ในตอนนั้นไม่ได้เทศนาใดๆเลย เพียงแต่เป็นพยานสั้นๆ แล้วหลังจากนั้นก็เชิญนักศึกษาให้มาแบ่งปันประสบการณ์การเป็นคริสเตียนของตัวเอง และนี่เป็นเรื่องปกติทั่วไป จากนั้นก็มีนักศึกษาคนหนึ่งออกมาเป็นพยาน จากนั้นมีคนอื่นๆเริ่มทยอยออกมาเป็นพยาน "จากนั้นพวกเขาก็เริ่มไหลไปยังธรรมมาส์" เขาพูดว่า "แตกสลายแล้ว" ทั้งนักศึกษาและอาจารย์ต่างอธิษฐานร้องไห้ ร้องเพลง พวกเขาเดินไปหาคนที่เคยผิดใจกันขและขอการให้อภัยให้แก่กันและกัน การนมัสการมีต่อเนื่องไปถึงแปดวัน [ตลอด 24 ชั่วโมง]

เช่นเดียวกันก็เคยเกิดขึ้นในคริสตจักรแบ๊บติสจีนที่หนึ่ง ซึ่งเป็นอย่างเดียวกับการฟื้นฟที่เกิดขึ้นที่สบิวรี่ ในชั่วโมงขณะที่คนหนุ่มสาวชาวจีนสารภาพและอธิษฐาน การอธิษฐานสารภาพต่อที่ประชุมเป็นเรื่องธรรมดาในการฟื้นฟู 1910 ที่ประเทศเกาหลี ทุกวันนี้การสารภาพบาปต่อกันและกันอย่างเปิดเผยนั้นเป็นเรื่องปกติให้กับคริสเตียนดในประเทศจีน ในการฟื้นฟูใหญ่นั้น อีวาน โรเบิร์ต ร้องไห้ "พระเจ้าโปรดตีสอนข้าฯ" เพราะการที่เขายอมแพ้ตัวเอง และยอมจำนนต่อพระเจ้า และต่อมาเขาจึงกลายเป็นผู้นำในการฟ้ืนฟูแห่งเวล์สในปี 1905 นี่เกิดขึ้นให้กับคุณด้วยหรือเปล่า? คุณจะอธิษฐานขอให้พระเจ้าทรงตีสอนคุณหรือไม่? ให้เราร้องเพลง “พระเจ้าโปรดค้นดูข้าฯ” หรือ “Search Me, O God”

“โอ ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงค้นดูข้าพระองค์
และทรงทราบความคิดของข้าพระองค์
และทรงทราบจิตใจของข้าพระองค์
และทรงทราบความคิดของข้าพระองค์
และทอดพระเนตรว่ามีทางชั่วใด ๆ
และขอทรงนำข้าพระองค์ไปในมรรคานิรันดร์”
   (สดุดี 139:23, 24)

ข้าฯอธิษฐานขอพระวิญญาณของพระเจ้าเสด็จลงมา
ข้าฯอธิษฐานขอพระวิญญาณของพระเจ้าเสด็จลงมา
ละลายข้าฯสอนข้าฯทำลายข้าฯและเปลี่ยนข้าฯ
ข้าฯอธิษฐานขอพระวิญญาณของพระเจ้าเสด็จลงมา

นั่นสามารถเกิดขึ้นในคริสตจักรของเรา ถ้าพระเจ้าส่งพระวิญญาณลงมาในการฟ้ืนฟู ให้ร้องเพลง “Search Me, O God”

“โอ ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงค้นดูข้าพระองค์
และทรงทราบความคิดของข้าพระองค์
และทรงทราบจิตใจของข้าพระองค์
และทรงทราบความคิดของข้าพระองค์
และทอดพระเนตรว่ามีทางชั่วใด ๆ
และขอทรงนำข้าพระองค์ไปในมรรคานิรันดร์”
   (สดุดี 139:23, 24)

อาเมน

ตอนที่คุณเขียนหนังสือไปให้ ดร. ไฮเมอร์ส บอกท่านเสมอว่าคุณเขียนมาจากประเทศอะไร หรือท่านไม่ได้ตอบคุณ หากคุณได้รับพระพรจากบทเทศนานี้ ดร. ไฮเมอร์ส อยากจะได้ยินจากคุณ ตอนที่เขียนจดหมายถึง ดร. ไฮเมอร์ส กรุณาบอกท่านว่าคุณเขียนมาจากประเทศอะไร หรือหากท่านไม่อาจตอบอีเมลล์ของท่าน หากบทเทศนานี้เป็นพระพรให้กับคุณ กรุณาเขียนอีเมล์ส่งไปให้ ดร. ไฮเมอร์ส และบอกท่านว่าคุณเขียนมาจากประเทศอะไร และนี่คืออีเมล์ของดร.ไฮเมอร์ส – rlhymersjr@sbcglobal.net (คลิกที่นี่) คุณสามารถเขียนถึง ดร. ไฮเมอร์ส ในภาษาของคุณ แต่หากเป็นไปได้ก็ขอให้เขียนเป็นภาษาอังกฤษ หรือเขียนส่งจดหมายส่ง ดร. ไฮเมอร์ส ทางไปรษณีตามที่อยู่นี้ P.O. Box 15308, Los Angeles, CA 90015. คุณสามารถโทรศัพท์ไปท่านได้ที่ (818)352-0452

(จบการเทศนา)
คุณสามารถอ่านบทเทศนาของ ดร.ไฮเมอร์ส ในแต่ละสัปดาห์ทางอินเทอร์เน็ทได้ที่
at www.sermonsfortheworld.com.
คลิกที่นี่) “บทเทศนาในภาษาไทย”

หมายเหตุ: ต้นฉบับของบทเทศนาเหล่านี้ไม่ได้สงวนลิขสิทธิ์
คุณสามารถนำไปใช้โดยที่ไม่ต้องขออนุญาตจาก ดร. ไฮเมอร์ส
แต่อย่างไรก็ตามข้อความทั้งหมดของ ดร. ไฮเมอร์ส
ที่อยู่ในรูปวิดีโอนั้นมีการสงวนลิขสิทธิ์และต้องได้รับการอนุญาตเท่านั้นถึงจะสามารถนำมาใช้ได้