Print Sermon

เป้าหมายของเว็ปไซต์นี้คือจัดเตรียมบทเทศนาที่เขียนจากต้นฉบับ และในรูปแบบวีดีโอให้กับผู้รับใช้ และมิชชั่นนารีที่ไปรับใช้ในต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศในโลกที่สามที่ขาดแคลนพระคริสตธรรมหรือโรงเรียนอบรมพระคัมภีร์

ต้นฉบับของบทเทศนาเหล่านี้ถูกอ่านในคอมพิวเตอร์ประมาณ 1,500,000 เครื่อง และมากกว่า 221 ประเทศในแต่ละปี โปรดไปอ่านได้ที www.sermonsfortheworld.com ในขณะเดียวกันมีหลายร้อยคนดูวิดีโอบน YouTube และหลังจากนั้นคนเหล่านั้นก็จะย้ายจากดู YouTube มาอ่านเว็บไซต์ของเรา YouTube นำคนมาที่เว็บไซต์ของเรา บทเทศนาต้นฉบับนี้ถูกแปลออกเป็น 46 ภาษา และมีคนอ่านในคอมพิวเตอร์มากถึง 120,000 ทุก ๆ เดือน บทเทศนาต้นฉบับนี้ไม่สงวนลิขสิทธิ์ อนุญาตให้นักเทศนาสามารถนำไปใช้เทศน์ได้ นอกจากนี้ยังมีในรูปแบบวีดีโอเป็นร้อย ๆ ซึ่งเทศน์โดย ดร. ไฮเมอร์ส และนักศึกษาของท่าน บทเทศนาต้นฉบับไม่สงวน แต่จะสงวนเฉพาะในรูปแบบวีดีโอ กรุณาคลิกที่นี่เพื่อเรียนรู้ว่าจะสนับสนุนการประกาศพระกิตติคุณไปทั่วโลกได้อย่างไร

ตอนที่คุณเขียนหนังสือไปให้ ดร. ไฮเมอร์ส บอกท่านเสมอว่าคุณเขียนมาจากประเทศอะไร หรือท่านไม่ได้ตอบคุณ อีเมล์ของ ดร. ไฮเมอร์ส คือ rlhymersjr@sbcglobal.net




คำสอนของลูเทอร์

LUTHER’S TEXT
(Thai)

โดย ดร. อาร์ เอล์ ไฮเมอร์ส จูเนียร์
by Dr. R. L. Hymers, Jr.

เทศนาในตอนเช้าวันของพระเป็นเจ้าที่ 26 เดือนตุลาคม ค.ศ. 2014 ณ
คริสตจักรแบ๊บติสต์แห่งนครลอสแอนเจลิส
A sermon preached at the Baptist Tabernacle of Los Angeles
Lord's Day Evening, October 26, 2014

“ด้วยว่าข้าพเจ้าไม่มีความละอายในเรื่องข่าวประเสริฐของพระคริสต์ เพราะว่าข่าวประเสริฐนั้นเป็นฤทธิ์เดชของพระเจ้า เพื่อให้ความรอดแก่ทุกคนที่เชื่อ พวกยิวก่อน และพวกกรีกด้วย เพราะว่าในข่าวประเสริฐนั้นความชอบธรรมของพระเจ้าก็ได้แสดงออก โดยเริ่มต้นก็ความเชื่อ สุดท้ายก็ความเชื่อ ตามที่มีเขียนไว้แล้วว่า คนชอบธรรมจะมีชีวิตดำรงอยู่โดยความเชื่อ’” (โรม 1:16, 17)


อัครสาวกเปาโลกล่าวในที่นี้คือให้กับคริสเตียนในกรุงโรม กรุงโรมในสมัยนั้นเป็นเมืองหลวงของโลก เมืองที่ใหญ่เช่นที่จึงมีวัดหินอ่อนและรูปปั้นเทพเจ้าของชาวโรมัน ไม่มีอาคารที่เป็นของคริสตจักรเลย คริสเตียนที่อาศัยในกรุงโรมตอนนั้นมีน้อยมาก ศาสนาอื่นไม่ยอมรับด้วย – ไม่ยอมรับแม้แต่เข้าให้เป็นศาสนา แต่เปาโลกล่าวอย่างหนักแน่นว่า “ด้วยว่าข้าพเจ้าไม่มีความละอายในเรื่องข่าวประเสริฐของพระคริสต์”

ท่านกล่าวอย่างนั้นได้อย่างไรกัน? ทำไมท่านถึงพูดเช่นนั้นได้อย่างมั่นอกมั่นใจว่า? “ข้าพเจ้าไม่มีความละอายในเรื่องข่าวประเสริฐของพระคริสต์” พระกิตติคุณที่กล่าวถึงนั้นคือการที่พระเยซูคริสต์ทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนชดใช้บาปของเรา และการที่พระองค์ฟื้นคืนพระชนม์จากความตายเพื่อให้เรามีชีวิต เปาโลกล่าวว่า "เราไม่เคยละอายเลย" ทำไมล่ะ? "เพราะว่าข่าวประเสริฐนั้นเป็นฤทธิ์เดชของพระเจ้า" ในภาษากรีกคำว่า "อำนาจ" คือ "ดูนามิส หรือ Dunamis" ตามที่ทราบกันในภาษาอังกฤษคือ "ไดนาไมท์ หรือ พลัง" โดยมีรากศัพท์มาจากภาษากรีกนั่นเอง พลังนี้มีอยู่ในพระกิตติคุณ! ดร. มาร์วิน อาร์ วินเซนต์ เรียกว่า "พลังของพระเจ้า" พระกิตติคุณแห่งพระเยซูคริสต์นั้นเต็มไปด้วยฤทธิ์อำนาจ! พระกิตติคุณนั้นสามารถทำให้วิญญาณที่ตายแล้วฟื้นขึ้นมาได้ จิตวิญญาณที่ตายแล้วกลับมามีชีวิตใหม่ก็โดยผ่านทางพระกิตติคุณ!

คุณมาที่คริสตจักรและได้ยินถึงพระเจ้าและพระคริสต์ แต่ดูเหมือนไม่มีความหมายให้กับคุณ เวลาผมประกาศพระกิตติคุณแก่พวกท่าน พวกคุณอาจพูดว่า "ทำไมอาจารย์เทศน์แต่เรื่องเดิมๆนั่น? ท่านพูดไปพูดมาแต่เรื่องเกี่ยวกับพระคริสต์บนไม้กางเขนและพระคริสต์ที่เป็นขึ้นมาจากความตาย ทำไมท่านถึงไม่พูดเรื่องอื่นบ้าง?" เพื่อนๆของผม เพราะผมรู้ว่าไม่มีอะไรที่สามารถเปลี่ยนชีวิตคุณจากคนบาปให้กลายมาเป็นคริสเตียนที่แท้จริงได้! ผมเองก็ไม่สามารถสอนให้คุณเป็นคริสเตียนได้! แต่ผมสามารถสอนพระกิตติคุณให้กับพวกคุณได้ หากคุณคือบุคลลที่พระเจ้าทรงเลือก เมื่อนั้นพระเจ้าก็จะทรงใช้พระกิตติคุณแห่งพระเยซูคริสต์ที่มีฤทธิ์อำนาจ – เปลี่ยนทำลายความคิดที่ผิดๆของคุณออกไป – และเปิดใจของคุณให้กับพระคริสต์ – แล้วนำจิตวิญญาณของคุณกลับมามีชีวิต! ตอนที่พระกิตติคุณอยู่ในตัวคุณ คุณกลับมามีชีวิตในฝ่ายวิญญาณ - คุณวางใจในพระคริสต์และบังเกิดใหม่อีกครั้ง! ไม่มีอะไรเลย นอกจากพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ที่มีฤทธิ์อำนาจเท่าที่สามารถทำเช่นนั้นได้! ไม่มีใครที่กล่าวถึงเรื่องนี้ดีเท่ากับ ชาร์ลส์ เวสลีย์

พระองค์ทำลายอำนาจของบาปออกไป
พระองค์ปล่อยนักโทษให้มีอิสระ
พระโลหิตของพระองค์ชำระความสกปรก
พระโลหิตของพระองค์มีค่าสำหรับฉัน
(“O For a Thousand Tongues” by Charles Wesley, 1707-1788)

แล้วอัครสาวกก็กล่าวว่า "เพื่อให้ความรอดแก่ทุกคนที่เชื่อ" ฤทธิ์อำนาจแห่งพระกตติคุณของพระเยซูคริสนำมาซึ่งชีวิตและความรอดให้ทุแก่คนที่เชื่อ พระกิตติคุณไม่ได้กู้ทุกคน หลายคนอาจหัวเราะที่พูดเช่นนี้ หลายคนคิดว่าพวกเขาสามารถรอดโดยทางอื่น แต่พระคริสต์ทรงกู้เฉพาะผู้ที่เชื่อและวางใจพระองค์เท่านั้น เฉพาะคนที่มีประสบการณ์ที่ว่า "รอดโดยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า"

แล้วสาวกก็กล่าวว่า "เพราะว่าในข่าวประเสริฐนั้นความชอบธรรมของพระเจ้าก็ได้แสดงออก" "ใน" ชี้ให้กลับไปที่ข่าวประเสริฐ เช่นเพราะว่าในข่าวประเสริฐนั้นความชอบธรรมของพระเจ้าก็ได้แสดงออก พระเจ้าทรงส่งพระบุตรของพระองค์ พระเยซูคริสต์ทรงชดเชยบาปของเราบนไม้กางเขน พระเจ้าจะไม่ชอบธรรมถ้าพระองค์มองข้ามความบาปของเรา พระองค์ทรงส่งพระเยซูสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนแทนที่ของเรา ทรงรับโทษแทนเรา ตอนที่คุณวางใจพระเยซู เมื่อนั้นคุณได้สวมเสื้อผ้าอย่างที่ลูเทอร์เรียกว่า "ความชอบธรรมของคนต่างด้าว" คุณไม่ได้สวมความชอบธรรมของตัวเองโดยได้จากการทำ "ดี" ตอนที่คุณวางใจพระเยซู คุณจะสวมความชอบธรรมของพระองค์ เป็น "ความชอบธรรมของคนต่างด้าว" ที่เป็นเช่นนั้นเพราะมันไม่ใช่ของคุณ – แต่เป็นความชอบธรรมของพระคริสต์ที่ช่วยให้คุณรอด เขาสวมตัวคุณด้วยความชอบธรรมของพระองค์

แล้วสาวกก็กล่าวว่า "ตามที่เขียนไว้ คนชอบธรรมจะมีชีวิตดำรงอยู่โดยความเชื่อ” (โรม 1:17) "ตามที่เขียนไว้" ท่านอ้างมาจากพระคัมภีร์เดิมคือฮาบากุก ผู้เผยพระวจนะฮาบากุกกล่าวว่า “คนชอบธรรมจะมีชีวิตดำรงอยู่โดยความเชื่อ" (ฮาบากุก 2: 4) เปาโลอ้างอิงข้อนั้นจากฮาบากุกถึงสามครั้งในพันธสัญญาใหม่ - โรม 1:17 กาลาเทีย 3:11 และฮีบรู 10:38 ในแต่ละกรณีนั้นกล่าวว่า "มีชีวิตอยู่ด้วยความเชื่อเท่านั้น" นี่คือข้อพระธรรมที่พระเจ้าทรงใช้เปิดตาของ มาร์ติน ลูเธอร์ นี่คือข้อพระธรรมที่เปลี่ยนแปลงโลกและนำซึ่งการฟื้นฟูที่ยิ่งใหญ่อย่างที่เรียกกันว่า "การปฏิรูป" นี่คือสิ่ง ดร. แมคกี้ กล่าวถึงคำพูดเหล่านั้น "มีชีวิตอยู่โดยความเชื่อเท่านั้น"

ชอบธรรมโดยความเชื่อหมายความใช่ว่าคนบาปได้รับการอภัยโทษเพราะวางใจพระคริสต์เหตุที่คริสต์ทรงสิ้นพระชนม์เท่านั้น แต่เขายังยืนอยู่ต่อพระพักต์พระเจ้าอย่างสมบูรณ์ในพระคริสต์ ใช่ว่าแค่หมายความว่าได้รับการลบล้างบาปเท่านั้น แต่ยังรวมความชอบธรรมเข้าไปด้วย พระคริสต์ "คือพระองค์ผู้ทรงถูกมอบไว้เพราะการละเมิดของเรา และได้ทรงฟื้นขึ้นจากความตายเพื่อให้เราเป็นคนชอบธรรม" (โรม 4:25) – นั่นคือเขายังยืนอยู่ต่อพระพักต์พระเจ้าอย่างสมบูรณ์ในพระคริสต์ (J. Vernon McGee, Th.D., Thru the Bible, volume IV, p. 651; note on Romans 1:17)

คุณอาจจะพูดว่า "มีหลายอย่างเหลือเกินที่ต้องจดจำ!" ใช่ แต่ทั้งหมดนี้สามารถเห็นชัดเจนในชีวิตของมาร์ติน ลูเธอร์ ท่านมีชีวิตอยู่ระหว่าง 1483 จนถึง 1546 ไม่มีคนมากนักที่สามารถทำในสิ่งที่ลูเทอร์ทำนอกจาก อาจารย์เปาโล โคลัมบัส เจลลันหรือเอดิสันหรือไอสไตน์ – คือหนึ่งในบุคคลที่เปลี่ยนแปลงโลกและประวัติศาสตร์ของมนุษย์ แต่ความต้องการความรอดของคนเหล่านั้นไม่ได้แตกต่างปจากของคุณ

นักเขียนสมัยใหม่เรียก ลูเทอร์ ว่าคน "ยุคกลาง" พวกเขาวิจารณ์ว่าท่านเชื่อพวกทูตสววรค์ พวกปีศาจและซาตาน พวกเขาคิดว่ามุมมองของเขาที่ว่ามนุษย์อยู่ท่ามกลางการต่อสู้ระหว่างพระเจ้าและซาตานนั้นเป็นคำพูดที่เกินความจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกเขาต่อต้านสิ่งท่านยำเกรงและกลัวพระพิโรธของพระเจ้าเพราะความบาปของท่าน กับผมแล้วกลับแสดงให้เห็นว่าคำวิจารณ์เหล่ากำลังส่อให้เห็นฟฤติกรรมของพวกนักเขียนในยุคปัจจุบันนี้มากกว่าลูเทอร์ แสดงให้เห็นว่าพวก "เวนเจลิคอล์ใหม่" คือผู้ที่ไม่เชื่อว่ามีทูตสววร์ ปีศาจและซาตาน! แสดงให้เห็นว่าพวกเขาไม่เชื่อในสิ่งที่พระคัมภีร์สอนเกี่ยวกับความขัดแย้งระหว่างความดีและความชั่ว! และโดยเฉพาะอย่างยิ่งแสดงให้เห็นว่าพวก "อีเวนเจลิคอล์ใหม่" ไม่กลัวพระเจ้าและไม่เชื่อเรื่องบาป! ลูเทอร์ออกมามองเหมือนคริสเตียนธรรมดาคนหนึ่ง! การที่พวกอีเวนเจลจิคอล์สมัยใหม่ได้วิพากษ์วิจารณ์ท่านนั้น เหมือนพวกเขาเป็นคนที่ยังหลงหายอยู่ - ไม่ไค้เป็นคริสเตียนเลยแม้แต่น้อย! พระเจ้าโปรดช่วยเราด้วย!

ผมพบว่าความคิดเห็นของลูเธอร์ในพระธรรมโรมนั้นเกือบจะไม่มีข้อยกเว้น กล่าวได้อย่างชัดเจนและถูกต้อง ผมเพิ่มพบในสิ่งที่ท่านกล่าวถูกต้องเกี่ยวกับพวกยิว ท่านกล่าวว่า "จากพระธรรมตอนนี้สามารถสรุปได้ว่าชาวยิวในยุคสุดท้ายนี้จะกลับใจใหม่มาเชื่อพระคริสต์ ... ชาวยิวที่ตอนนี้หลงหายไปจะกลับใจใหม่และรับความรอดหลังจากการทรงเลือกของพระเจ้าได้เสร็จสมบูรณ์ลง พวกเขาจะไม่อยู่ข้างนอกอีกต่อไป แต่ในเวลาของพวกเขามาถึงนั้นพวกเขาจะกลับใจใหม่ (Luther’s Commentary on Romans, Kregel Publications, 1976 edition, pp. 161, 162; note on Romans 11:25-36)

นั่นดูเหมือนว่าใกล้เคียงกับสิ่งที่พระคัมภีร์สอน ผมรู้ว่าภายหลังท่านได้พูดบางอย่างรุนแรง คือช่วงที่มีอายุมากและป่วย แต่เราควรจะให้อภัยท่าน ความเห็นของท่านออกมาจากคาทอลิก "ศาสนศาสตร์ทดแทน" คือความเชื่อที่ว่าคริสตจักรแทนที่อิสราเอล – เป็นคำสอนเทียมเท็จซึ่งยังเชื่อกันในทุกวันนี้แม้แต่พวกเคลวินและคณะอื่น ๆ พระเจ้าโปรดเมตตาเราด้วย! ในโลกนี้พระเจ้ายังคงมีพันธสัญญากับพวกอิสราเอลและคนยิวกันอยู่ ตามที่ระบุไว้อย่างชัดเจนในโรม 11: 25-27

พ่อของลูเธอร์เป็นคนงานเหมือง แต่อยากให้เขาเป็นทนายความ เขาจึงเริ่มต้นศึกษาตามเป้าหมายนี้ แต่มาวันหนึ่งในขณะที่เขากำลังเดินผ่านท่ามพายุฝนฟ้าคะนอง ฟ้าผ่าลงมาใกล้เขา เขาได้ล้มลงบนพื้นดินและร้องตะโกนออกมาว่า "นักบุญแอนน์ช่วยฉันด้วย แล้วนจะเป็นนักบวช!" นั่นหมายความว่าเขาจะเข้าร่วมโบสถ์อารามและตักขาดจากโลก แต่ว่าการปฏิบัติทางศาสนาอย่างเอาจริงเอาจังของท่านนั้นไม่ได้ช่วยให้ท่านพบสันติสุขกับพระเจ้า พวกนักเขียนที่เป็น "อีเวนเจลิคอล์ใหม่" มักจะบอกว่าใน "ยุคกลาง" การที่ท่านกลัวพระเจ้านั้นเป็นความเชื่อที่ผิด ผิดได้อย่างไรกัน! ผิดตรงไหน! ความกลัวของลูเธอร์ที่มีต่อพระเจ้านั้นถูกต้องอย่างแน่นอน พระคัมภีร์ได้กล่าวถึงผู้ที่ไม่ได้รับความรอดไว้ดังนี้ว่า "แววตาของเขาไม่มีความเกรงกลัวพระเจ้า" (โรม 3:18) ลูเทอร์ กล่าวว่า "โดยธรรมชาติแล้วเราไม่มีความชอบธรรมและไม่เกรงกลัวพระเจ้า ดังนั้นเราต้องถ่อมตัวอย่างจริงจัง และยอมรับความชั่วช้าและความไม่รู้ของเราต่อพระเจ้า" (Luther, ibid., p. 74; note on Romans 3:18) เป็นเพราะพระคุณของพระเจ้าจึงทำให้คนบาปรู้สึกตัวว่าได้หลงหายไป เหมือนอย่างที่ จอห์น นิวตัน (1725-1807) เขียนบทเพลงนี้ "พระคุณสอนใจของฉันให้เกรงกลัว" ("พระคุณพระเจ้า") การขาดยำเกรงหรือกลัวเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าของการไม่มีพระเจ้า

ลูเทอร์ตระหนักเป็นอย่างมากถึงความผิดบาปของเขา เขาเรียกมันว่าภัยพิบัติแห่งจิตใจของเขา สิ่งที่เขาทำไม่มีอะไรที่สามารถลบล้างความรู้สึกผิดของเขา ในขณะที่เขาได้ศึกษาพระคัมภีร์อยู่นั้น เขานึกถึงคำพูดของโยฮันน์ สโตปิท์ส ซึ่งเป็นครูของเขาและบอกเขาว่า "จงมองไปที่แผลของพระผู้ช่วยให้รอด" ดังนั้นในการศึกษาของเขานั้ย ทำให้เขาเห็นกางเขนของพระเยซูคริสต์ เขาเห็นว่าพระพิโรธและความรักของพระเจ้ามีอยู่รวมกันในพระคริสต์ที่ไม้กางเขน ลูเทอร์เขียนถึงแม่ของเขาดังนี้ว่า

กลางคืนและกลางวันที่ฉันครุ่นคิด จนได้เห็นการเชื่อมต่อระหว่างความยุติธรรมของพระเจ้าและคำว่า "มีชีวิตอยู่ด้วยความเชื่อ" จากนั้นฉันก็รู้ดีว่าความยุติธรรมของพระเจ้านั้นเป็นความชอบธรรมซึ่งผ่านทาง พระคุณและความเมตตาของพระเจ้าอย่างที่แท้จริง ผ่านทางความเชื่อ [ในพระคริสต์] และแล้วฉันก็รู้สึกว่าตัวเองได้บังเกิดใหม่และได้ผ่านไปทางประตูสู่สวรรค์ที่เปิดอยู่ พระคัมภีร์ทั้งหมดทั้งหมดมีความหมายใหม่ (Roland H. Bainton, Here I Stand, Mentor Books, 1977, page 49)

ในเวลานั้นศาสนศาสตร์ของลูเธอร์ถูกเรียกว่า "ศาสนศาสตร์แห่งไม้กางเขน" เขากล่าวว่า "ไม้กางเขนเท่านั้นคือศาสนศาสตร์ของเรา" ถ้าคุณอยากจะรับการช่วยกู้ให้รอดพ้นจากบาปของคุณ มีทางเดียวเท่านั้นคือผ่านทางความเชื่อในพระเยซูคริสต์ผู้ถูกตรึงที่กางเขน! พระเยซูคริสต์แห่งไม้กางเขน! ไม่มีทางอื่นมาก่อนพระเจ้าผู้บริสุทธิ์

ในการศึกษาของลูเทอร์เขาเห็นว่า เขาเห็นว่าความชอบธรรมของพระเจ้าในพระธรรมของเรานี้ ไม่ได้หมายถึงคุณลักษณะของพระเจ้า – แต่เป็นความชอบธรรมที่พระเจ้าประทานให้เราและพระองค์ประทานให้เราผ่านทางความเชื่อในพระเยซู "มีชีวิตอยู่โดยความเชื่อ" (โรม 1:17) ดร. ลอยด์ โจนส์ กล่าวว่า "ความเชื่อของเราไม่ได้ทำให้เราชอบธรรม แต่เป็นความชอบธรรมของพระเยซูคริสต์ที่ - และไม่มีอะไรอื่นอีก ... พระเจ้ารักษาเราจากการเปลี่ยนจากความเชื่อไปที่การงานและพยายามทำให้เราชอบธรรมโดยทางความเชื่อของเรา มันเป็น [พระคริสต์] ความชอบธรรมที่ทำให้เราว่าถูกต้อง และมาที่ฉันโดยทางความเชื่อ และความเชื่อคือ ... ช่องทางผ่านทางความชอบธรรมของพระคริสต์ที่ทรงประทานให้ฉัน ..." (Martyn Lloyd-Jones, M.D., Romans – Exposition of Chapter 1, The Gospel of God, Banner of Truth, 1985 edition, p. 307)

ตอนที่ ลูเทอร์ อ่านคำพูดนี้ "มีชีวิตอยู่โดยความเชื่อ" เขากล่าวว่า "การอธิบายของเปาโลกลายมาเป็นฉัน ... ประตูสู่สวรรค์" ดร. ลอยด์ โจนส์ กล่าวว่า "การเปิดเผยนั่นคืออะไร! อะไรคือการเปลี่ยนแปลง! จากความสุข ความทุกข์ เป็นนักบวชที่ไม่มีความสุข นับลูกปัและอดอาหารและการทำงานหนักของเขาและอธิษฐานและยังล้มเหลว จึงพาไปสู่การปฏิรูป! เพื่อสง่าราสีของผู้ประกาศพระกิตติคุณ ชื่นชมยินดีใน 'เสรีภาพรุ่งโรจน์ของพระบุตรของพระเจ้า'" (ลอยด์ โจนส์อ้าง หน้า 309) บทเพลงที่นายริฟฟิธ พึ่งร้องผ่านไปสักครู่ นักบวชที่ ซินเซนดอร์ฟ กล่าวว่า

พระเยซู โลหิตของพระองค์และความชอบธรรมของพระองค์
   คือความงามของฉันเป็นการแต่งกายที่สวยงามของฉัน
ท่ามกลางโลกและในเหล่านักรบ
   ด้วยสันติสุขนั้นได้ยกศีรษะของฉันขึ้น
(“Jesus, Thy Blood and Righteousness”
      by Count Nicolaus von Zinzendorf, 1700-1760)

หรืออย่างที่ เอ็ดเวิร์ด โมท์ กล่าวเอาไว้

ความหวังของฉันถูกสร้างขึ้นบนที่ไม่มีอะไรเลย
   แล้วพระโลหิตของพระเยซูและความชอบธรรม ...
สวมความชอบธรรมของพระองค์เพียงผู้เดียว
   ไม่มีความผิดยังอยู่ยืนต่อหน้าพระที่นั่ง
ฉันยืนอยู่ในพระคริสต์ศิลาที่แข็ง
   พื้นดินที่อื่นจมอยู่ในกองทราย
พื้นดินที่อื่นจมอยู่ในกองทราย
            (“The Solid Rock” by Edward Mote, 1797-1874)

ผมขอร้องคุณในค่ำคืนนี้ให้วางใจพระเยซู “จงดูพระเมษโปดกของพระเจ้า ผู้ทรงรับความผิดบาปของโลกไปเสีย" (ยอห์น 1:29) ในขณะที่คุณวางใจพระเยซู คุณจะได้รับการช่วยกู้ ชอบธรรมและปลอดภัยไปชั่วนิรันดร์ ผมหวังว่าคุณจะไว้วางใจพระเยซูในค่ำคืนนี้ เช่นเดียวกับลูเทอร์ คุณจะ "บังเกิดใหม่และ [ไป] ผ่านไปสู่สวรรค์ทางประตูที่เปิดอยู่" เหมือนอย่างที่ โยฮันน์ สโตปิท์ส บอก ลูเทอร์เอาไว้ดังนี้ว่า "มองไปที่บาดแผลของพระผู้ช่วยให้รอด"

“คนชอบธรรมจะมีชีวิตดำรงอยู่โดยความเชื่อ’” (โรม1:17)”

ดร. ชัน กรุณานำเราอธิษฐานเพื่อว่าบางคนจะวางใจพระเยซูและรับการช่ว

(จบการเทศนา)
คุณสามารถอ่านบทเทศนาของ ดร. ฮิวเมอร์ ได้ในแต่ละอาทิตย์ทางอินเตอร์เนทได้ที่
www.realconversion.com. (กดที่นี่) “บทเทศนาในภาษาไทย”

คุณสามารถส่งอีเมล์ถึง ดร. ไฮเมอร์ส ที่ rlhymersjr@sbcglobal.net
– หรือเขียนจดหมายส่งไปให้เขาที่ P.O. Box 15308, Los Angeles, CA 90015.
หรือโทรศัพท์ถึงเขาที (818) 352-0452.

หมายเหตุ: ต้นฉบับของบทเทศนาเหล่านี้ไม่ได้สงวนลิขสิทธิ์
คุณสามารถนำไปใช้โดยที่ไม่ต้องขออนุญาตจาก ดร. ไฮเมอร์ส
แต่อย่างไรก็ตามข้อความทั้งหมดของ ดร. ไฮเมอร์ส
ที่อยู่ในรูปวิดีโอนั้นมีการสงวนลิขสิทธิ์และต้องได้รับการอนุญาตเท่านั้นถึงจะสามารถนำมาใช้ได้

อ่านพระคัมภีร์ก่อนเทศนาโดย นาย อาเบล พรูมโหมมี: โรม 1:15-17.
ร้องเพลงเดี่ยวพิเศษโดย มร. เบนจามิน คินเคด กริฟฟิท์:
“Jesus, Thy Blood and Righteousness”
(by Count Nicolaus von Zinzendorf, 1700-1760;
translated by John Wesley, 1703-1791)