Print Sermon

เป้าหมายของเว็ปไซต์นี้คือจัดเตรียมบทเทศนาที่เขียนจากต้นฉบับ และในรูปแบบวีดีโอให้กับผู้รับใช้ และมิชชั่นนารีที่ไปรับใช้ในต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศในโลกที่สามที่ขาดแคลนพระคริสตธรรมหรือโรงเรียนอบรมพระคัมภีร์

ต้นฉบับของบทเทศนาเหล่านี้ถูกอ่านในคอมพิวเตอร์ประมาณ 1,500,000 เครื่อง และมากกว่า 221 ประเทศในแต่ละปี โปรดไปอ่านได้ที www.sermonsfortheworld.com ในขณะเดียวกันมีหลายร้อยคนดูวิดีโอบน YouTube และหลังจากนั้นคนเหล่านั้นก็จะย้ายจากดู YouTube มาอ่านเว็บไซต์ของเรา YouTube นำคนมาที่เว็บไซต์ของเรา บทเทศนาต้นฉบับนี้ถูกแปลออกเป็น 46 ภาษา และมีคนอ่านในคอมพิวเตอร์มากถึง 120,000 ทุก ๆ เดือน บทเทศนาต้นฉบับนี้ไม่สงวนลิขสิทธิ์ อนุญาตให้นักเทศนาสามารถนำไปใช้เทศน์ได้ นอกจากนี้ยังมีในรูปแบบวีดีโอเป็นร้อย ๆ ซึ่งเทศน์โดย ดร. ไฮเมอร์ส และนักศึกษาของท่าน บทเทศนาต้นฉบับไม่สงวน แต่จะสงวนเฉพาะในรูปแบบวีดีโอ กรุณาคลิกที่นี่เพื่อเรียนรู้ว่าจะสนับสนุนการประกาศพระกิตติคุณไปทั่วโลกได้อย่างไร

ตอนที่คุณเขียนหนังสือไปให้ ดร. ไฮเมอร์ส บอกท่านเสมอว่าคุณเขียนมาจากประเทศอะไร หรือท่านไม่ได้ตอบคุณ อีเมล์ของ ดร. ไฮเมอร์ส คือ rlhymersjr@sbcglobal.net




ทำไมถึงฟื้นฟู? คำตอบที่แท้จริง!

(บทเทศนาถึงการฟื้นฟูครั้งที่ 10)
WHY NO REVIVAL? THE TRUE ANSWER!
(SERMON NUMBER 10 ON REVIVAL)
(Thai)

โดย ดร. อาร์ เอล์ ไฮเมอร์ส จูเนียร์
by Dr. R. L. Hymers, Jr.

เทศนาในตอนเช้าวันของพระเป็นเจ้าที่ 5 เดือนตุลาคม ค.ศ. 2014 ณ
คริสตจักรแบ๊บติสต์แห่งนครลอสแอนเจลิส
A sermon preached at the Baptist Tabernacle of Los Angeles
Lord's Day Evening, October 5, 2014

“พระองค์ทรงจากเขาไปแล้ว” (โฮเชยา 5:6)

“เราจะกลับมายังสถานที่ของเราอีกจนกว่าเขาจะยอมรับความผิดของเขาและแสวงหาหน้าของเรา...” (โฮเชยา 5:15)


หัวข้อของบทที่ห้าในโฮเชยาเป็นปรากฏการที่กล่าวถึงพระเจ้าทรงเบือนพระพักตร์หนีจากชนชาติอิสราเอล - ตามรายละเอียดที่ปรากฏในพระคัมภีร์ฉบับบ Scofield ในตอนต้นของบทนี้ พระเจ้าหันหน้าหนีไปจากอิสราเอลเพราะความภาคภูมิใจต่อการทำบาปของพวกเขา

ผมรู้ว่าพระเจ้าไม่ได้ทำพันธสัญญากับอเมริกา พระองค์ทรงพันธสัญญาในโลกนี้กับชนชาติ อิสราเอลเท่านั้น ไม่มีกับประเทศอื่น ๆ แต่ให้รู้ว่าพระธรรมของเราข้อนี้ พระเจ้าตรัสว่า พระองค์ทรงเบือนพระพักตร์หนีไปจากชนชาติที่ทรงทำพันธสัญญาด้วย เพราะพวกเขามีความภาคภูมิใจในความบาปของตน ถ้าพระองค์ทรงละทิ้งพันธสัญญาที่ทรงทำกับชนชาติอิสราเอล ลองคิดดูแน่นอนพระเจ้าชต้องทรงละทิ้งอเมริกาและโลกตะวันตกด้วย! ดร. เจเวอร์นอน แมคกี้ กล่าวว่า

ผมเชื่อและมั่นใจว่าประเทศสหรัฐอเมริกาในทุกวันนี้รู้สึกถึงผลของการพิพากษาโดยพระเจ้าที่มีต่อเรา ... เรารู้สึกถึงผลของการพิพากษาของพระเจ้าที่มีต่อเรา (J. Vernon McGee, Th.D., Thru the Bible, volume III, Thomas Nelson Publishers, 1982, p. 633; note on Hosea 5:2)

ตอนนี้ให้กลับมาที่เนื้อหาของเรา

“เราจะกลับมายังสถานที่ของเราอีกจนกว่าเขาจะยอมรับความผิดของเขาและแสวงหาหน้าของเรา...” (โฮเชยา 5:15)

ที่นี่คือพระดำรัสที่พระเจ้าทรงตรัสให้ชนชาติบาปว่า พระองค์จะลงโทษพวกเขาโดยการเบือนพระพักตร์หนี โดยตรัสว่า "เราจะกลับมายังสถานที่ของเราอีกจนกว่าเขาจะยอมรับความผิดของเขาและแสวงหาหน้าของเรา... " ฉบับอถรรถธิบายพระคัมภีร์โดยโปริตัน เยเรเมียห์ โรห์ (1600-1646) แสดงความคิดเห็นถึงพระธรรมข้อไว้ว่า

‘เราจะกลับไปยังสถานที่ของเรา' นั่นคือ เราจะเสด็จไปยังสวรรค์อีกครั้ง ... ปล่อยพวกเขาให้ทนทุกข์ เราจะกลับไปยังสวรรค์และประทับที่นั่น ... ถ้าไม่ได้รับการยำเกรงจากพวกเขา (Jeremiah Burroughs, An Exposition of the Prophecy of Hosea, Reformation Heritage Books, 2006, p. 305; note on Hosea 5:15)

ผมแน่ใจว่านั่นคือเหตุผลหลักที่เราไม่มีการฟื้นฟูใหญ่ในโลกฝั่งตะวันตกมานานกว่า 100 ปี เพราะพระเจ้าได้เบือนพระพักตร์หนีเราไป พระเจ้าทรงตรัสว่า “เราจะกลับมายังสถานที่ของเราอีกจนกว่าเขาจะยอมรับความผิดของเขาและแสวงหาหน้าของเรา...” คุณอาจจะไม่เห็นด้วยและบอกว่าผมเป็นเพียงแค่มิชชันนารีที่ไร้นามไม่มีค่าน่าสนใจให้กับคุณ ถ้าเช่นนั้นคุณเคยได้ยินคำเทศนาจากนักเทศน์ผู้ยิ่งใหญ่อย่าง ดร.ลอยด์ โจนส์หรือไม่? นี่คือสิ่งที่ท่านพูด

พระเจ้าทรงทราบดีว่าคริสตจักรของคริสเตียนอยู่ในถิ่นทุรกันดารมาเป็นเวลาหลายปี ถ้าคุณอ่านประวัติของคริสตจักรก่อนปี 1830 หรือ 1840 คุณจะพบว่าในหลายประเทศมีการฟื้นฟูเป็นประจำหรือเกือบทุกสิบปีหรือมากกว่านั้น จากนั้นไม่ได้เป็นเช่นนั้นอีก มีเพียงแค่ครั้งเดียวในปี 1859 โอ้เรากำลังเข้าสู่ยุคเหี่ยวแห้ง ... ผู้คนได้สูญเสียความเชื่อที่มีต่อพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ และผู้ทรงสิ้นพระชนม์ชดใช้บาป และนำการคืนดีโดยหันไปพึ่งปรัชญาภูมิปัญญาและความรู้ เราผ่านช่วงเวลาที่เหี่ยวแห้งที่สุดในประวัติศาสตร์อันยาวนานของคริสตจักร ... เรายังคงอยู่ในถิ่นทุรกันดาร อย่าเชื่อคำที่บอกว่าเราออกจากที่นั่นแล้ว ยังเรายังไม่ได้ออก (D. Martyn Lloyd-Jones, M.D., Revival, 1987, Crossway Books, p. 129).

ตอนนี้คุณรู้แล้ว ไม่ใช่มาจากมิชชันนารีไร้นามอย่างผม แต่จากนักวิชาการที่มีชื่อเสียงซึ่งเป็นหนึ่งในสองหรือสามนักเทศน์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดของศตวรรษที่ยี่สิบ! พระเจ้าได้หนีไป และดังนั้นจึง "มีเพียงแค่การฟื้นฟูใหญ่ครั้งเดียวนับตั้งแต่ปี 1859" แม้ว่า "ประมาณก่อนปี 1830 หรือ 1840 ... เคยมีการฟื้นฟูเป็นประจำเกือบในทุกสิบปีหรือมากกว่านั้น" (อ้างอิง)

ถ้าเราสนใจการฟื้นฟูอย่างแท้จริง เราควรจะกลับไปและตรวจสอบอย่างละเอียดว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างปี 1830 และ 1840 ก่อนหน้านั้นคริสตจักรของเรามีการฟื้นฟูในทุกสิบปี แต่หลังจากนั้น – มีการฟื้นฟูใหญ่เพียงแค่ครั้งเดียวนับตั้งแต่ปี 1859! ดังนั้น แสดงว่าต้องมีบางอย่างเกิดขึ้นระหว่าง 1830 และ 1840 ที่ทำให้พระเจ้า "เบือนหน้าหนี" (โฮเชยา 5: 6) และ "กลับไป สถานที่ [ของพระองค์] " (โฮเชยา 5:15)

ถ้าคุณทราบประวัติคริสตจักรของพวกอีเวนเจลิคอล์ จะรู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้น! ชาร์ลส์ จี ฟินเนย์! เขาทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น! นักประวัติศาสตร์อย่าง ดร. วิลเลียม จี แมคลาฟลิน จูเนียร์ เขียนไว้ว่า

เขาเปิดศักราชแห่งการฟื้นฟูใหม่ในอเมริกัน ... เขาเปลี่ยนปรัชญาและกระบวนการของการประกาศทั้งหมด (William G. McLoughlin, Jr., Ph.D., Modern Revivalism: Charles G. Finney to Billy Graham, The Ronald Press, 1959, p. 11)

ก่อนหน้าฟินเนย์ นักเทศน์ต่างก็เชื่อว่าการฟื้นฟูมาจากพระเจ้า และการกลับใจใหม่ของแต่ละคนนั้นก็เป็นการอัศจรรย์ที่มาจากพระเจ้าเช่นกัน ปี 1735 โจนาธาน เอ็ดเวิร์ดเรียกการฟื้นฟู ว่า "งานมหัศจรรย์ของพระเจ้า" แต่ปี 1835 ฟินเนย์ บอกว่าการฟื้นฟูคือ "ไม่ใช่ความมหัศจรรย์ในความรู้สึกใด ๆ แต่มันเป็นผลแห่งปรัชญาทั้งหมดที่เหมาะสมตามบัญญัติ" นั่นคือ "การฟื้นฟูที่ไม่ใช่มหัศจรรย์ มันเป็นเพียงผลจากธรรมชาติของการใช้วิธีการที่เหมาะสม นั่นคือผลลัพธ์ของธรรมชาติที่ใช้วิธีการแบบถูกต้อง” นั่นเป็นคำพูดที่เขาพูดตามภาษาอังกฤษในสมัยใหม่

ความแตกต่างระหว่างโจนาธาน เอ็ดเวิร์ดและฟินเนย์ก็คือว่าเอ็ดเวิร์ดเป็นโปรเตสแตนต์ในขณะที่ฟินเนย์เป็นคนนอกรีตที่เชื่อว่า คนที่จะรอดได้นั้นต้องอาศัยความพยายามของตัวเองมากกว่าพึ่งพระคุณและฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า มันไม่ถูกต้องนักที่จะบอกว่าฟินเนย์เป็นอาร์มิเหมือนเมโทดิสต์ หนึ่งในบทเทศนาที่มีชื่อเสียงที่สุดของฟินเนย์ชื่อว่า "คนบาปที่ถูกผูกไว้เปลี่ยนใจของตัวเอง" (1831) พระเจ้าถูกผลักออกและอาศัยความพยายามของมนุษย์ ดังนั้นโดยความสามารถส่วนตัวนี้เองทำให้คนๆนั้นกลับใจใหม่ผ่านทางการตัดสินใจเท่านั้น เมโทดิสต์ก่อนหน้าฟินเนย์ไม่เชื่ออย่างนั้น เลน เอช เมอเรย์ ได้สรุปว่าความคิดของฟินเนย์มาจากเสรีนิยมนิวอิงแลนด์เช่นนาธาเนียล เทย์เลอร์ ไม่ใช่มาจากเมโทดิสต์ (Iain H. Murray, Revival and Revivalism, Banner of Truth, 2009 edition, pp. 259-261) พวกเมโทดิสต์ไม่เคยกล่าวว่า "คนบาปที่ถูกผูกไว้เปลี่ยนใจของตัวเอง"! ตามประวัติศาสตร์ของ เวสเลย์ ผู้ก่อตั้งเมโทดิสต์ จอร์จ สมิธ ได้ให้คำนิยามของการฟื้นฟูตามเวสเลย์ดังต่อไปนี้

การฟื้นฟู ดังนั้นจึงเป็นผลงานแห่งพระคุณผ่านมาทางพระวิญญาณของพระเจ้าสู่ดวงวิญญาณของมนุษย์ และในธรรมชาติของมันแตกต่างคืออยู่ที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเปลี่ยนใจผู้คนที่แปลกจากปกติทั่วไป (George Smith, Revival, volume 2, 1858, p. 617)

นี่คือความหมายของการฟื้นฟูและการกลับใจใหม่ตามคำนิยามของเมโทดิสชต์ในยุคแรก ความหมายนี้ได้มาจากพวกโปรเตสแตนต์หรือ แบ๊บติสก่อนที่ฟินเนย์จะมาให้คำนิยามที่ผิดและกลายเป็นที่นิยมและบีบพระเจ้าออกจากความหมายที่แท้จริง หลังจากฟินเนย์แล้วพวกเขาไม่รู้ว่าพวกเขาเป็น "คนแร้นแค้นเข็ญใจ เป็นคนน่าสังเวช เป็นคนขัดสน เป็นคนตาบอด และเปลือยกายอยู่" (วิวรณ์ 3:17) หลังจากฟินเนย์แล้วพวกเขาไม่รู้ว่าพระเจ้าทรง "เบือนพระพักตร์หนี" และกลับ "ไปยังสถานที่ของตัวเอง"

จากการอ้างอิงของ จอร์จ สมิธ แสดงให้เห็นว่าเมโทดิสต์ในยุคต้นนั้นเชื่อว่าทั้งการกลับใจใหม่ของแต่ละคนและการฟื้นฟู ทั้งสองอย่างนี้ขึ้นอยู่กับพระคุณของพระเจ้าที่ผ่านการทำงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ นั่นคือสิ่งที่พวกโปรเตสแตนต์และแบ็บติสต์ทั้งหมดเชื่อก่อนที่ฟินเนย์จะเริ่มต้นประกาศตามความเชื่อของตัวเอง ผู้เชื่อก่อนหน้านั้นมีความคิดที่แตกต่างจากฟินเนย์ และบทเทศนาที่ชื่อเสียงที่สุดของเขา "คนบาปที่ถูกผูกไว้กลับใจใหม่ด้วยตัวเอง" ผมถามว่า คุณจะทำได้อย่างไรกัน? ผมพยายามเป็นเวลาถึงเจ็ดปี! ไม่เคยทำได้ ผมรู้โดยประสบการณ์ของตัวเอง!

ฟินเนย์เป็นคนที่แนะนำให้รู้จักกับแท่นบูชาที่สอนว่า คนบาปสามารถรอดได้โดยอาศัยการตัดสินใจ "ในจุดที่" โดยการกระทำของพวกเขาเอง ขณะที่ดร แมคลาฟลิน กล่าวถึงฟินเนย์ว่า "เป็นการเปลี่ยนปรัชญาและกระบวนการของการประกาศทั้งหมด" (อ้างอิง) ทุกวันนี้พวกอีเวนเจลิคสอนว่าคนบาปสามารถรอดได้โดยการกระทำของมนุษย์และโดยการยกมือและพูดตามบท "อธิษฐานของคนบาป" หรือเดินไปยังด้านหน้าในที่ประชุมอย่างที่เรียกว่า "เวลาของการตัดสินใจ" ดังนั้น "การตัดสินใจ หรือ decisionism" เป็นผลแรกโดยตรงของคำสอนที่มาจาก ชาร์ลส์ จี ฟินเนย์!

การตัดสินในนิยม หรือ Decisionism กลายเป็นที่นิยมอย่างรวดเร็วเพราะ "มันเร็วและง่าย" คุณไม่จำเป็นต้องรอให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ลงโทษคนที่หายจมอยู่ในความบาปของพวกเขาแล้วดึงเหล่านั้นไปยังพระเยซูคริสต์ ฟินเนย์เปลี่ยนการประกาศแบบใหม่ "คริสเตียน" แต่เป็น "การสร้างผู้เชื่อ" ที่ส่วนใหญ่ไม่ได้นับถือศาสนาคริสต์เลย! เป็นการทำลายโปรเตสแตนต์เท่านั่น! พวก "เสรีนิยม" ทุกคนตัดสินใจโดยที่ไม่รอด นั่นคือพวกเสรีนิยมโปรเตสแตนต์!

เลน เอช เมอเรย์ กล่าวว่า "ความคิดที่ว่าการกลับใจเป็นหน้าที่ของมนุษย์กลายเป็น [ส่วนหนึ่งของ] พวกอีเวนเจลิคและเช่นเดียวกับคนที่ลืมไปว่าการฟื้นฟูเป็นหน้าที่ของพระเจ้า ดังนั้นความเชื่อที่ว่าการฟื้นฟูเกิดขึ้นเพราะการทำงานของพระวิญญาณของพระเจ้านั้นจึงหายไป [นี้] เป็นเพราะว่าเป็นฝีมือสอนโดยตรงของฟินเนย์" (Revival and Revivalism, Banner of Truth, 1994, pp. 412-13)

ถือว่า "เป็นทางลัดและง่าย" แต่เป็นทางที่ไม่ได้รับพระพรจากพระเจ้า ด้วยเหตุนี้โปรเตสแตนต์และแบ็บติสต์ตอนนี้จึงเต็มไปด้วยสมาชิกที่ยังไม่ได้รับความรอด ตอนนี้มีสมาชิกที่ยังไม่ได้รับความรอดอยู่เต็มคริสตจักรของแบ็บติสต์ และมีหลายคริสตจักรกำลังจะปิดการนมัสการในช่วงเย็นไป

ผมถามภรรยาศิษยาภิบาลท่านหนึ่งว่าทำไมสามีของเธอปิดการนมัสการในช่วงเย็นไป เธอบอกว่า "สมาชิกบอกเขาว่าพวกเขาจะไม่มาอีก" นั่นคือเหตุผลที่น่าเศร้าเพราะรูปแบบการสร้างสมาชิกในคริสตจักรของเราให้อ่อนแอ นั่นเป็นเพราะว่าพวกเขาสอนให้คนเหล่านั้น "ตัดสินใจ" เอาเอง แต่กลับไม่ยอมให้พระเจ้าเข้ามามีส่วน ขอพระเจ้าทรงอภัยเราด้วย! ตามพระวจนะแล้วเราเป็นคนบาป! เราไม่สามารถช่วยตัวเองให้รอดได้ พระเจ้าเท่านั้นที่สามารถส่งการฟื้นฟูลงมา การตัดสินใจนิยมคือวิธีการที่ปฏิเสธพระเจ้าอย่างสิ้นเชิง เพราะมนุษย์จะเป็นใหญ่กว่าพระเจ้า และพระเจ้าทรงตรัสว่า

“เราจะกลับมายังสถานที่ของเราอีกจนกว่าเขาจะยอมรับความผิดของเขาและแสวงหาหน้าของเรา...” (โฮเชยา 5:15)

นั่นคือเหตุผลหลักที่ชี้ถึงการที่เราไม่มีการฟื้นฟูใหญ่ในอเมริกาหรือสหราชอาณาจักรมานานกว่าร้อยปี!

คนบาปจะต้องอ่อนน้อมถ่อมตนต่อพระพักตร์พระเจ้า แต่การตัดสินใจนิยมกลับไม่ทำอย่างนั้น พวกเขาให้คนบาปออกมา "ข้างหน้า" ราวกับว่าเป็นนักรบที่กล้าหาญบ้าบิ่น เราไม่เห็นคนเช่นนี้หลั่งน้ำตาไม่มีความเศร้าโศกเสียใจเพราะการทำบาปไม่มีเลย ผมและภรรยาได้เห็นคนกลุ่มใหญ่หัวเราะและพูดคุยกันอย่างมีความสุขตอนพวกเขาออกไป "ข้างหน้า" ที่ครูเสดครั้งสุดท้ายของ บิลลี่ เกรแฮม ที่เมืองพาซาดีนาแคลิฟอร์เนียในเดือนพฤศจิกายนปี 2004 ช่างแตกต่างกับสมัยก่อนที่ฟินเนย์จะเข้ามามีบทบาทเรื่องการฟื้นฟู ลองฟังคำอธิบายของเมโทดิสต์ตามระเบียบการประชุมในปี 1814

ในคืนถัดมา ในที่ประชุมอธิษฐานอีกแห่งหนึ่ง มีคนจำนวนมากกลับใจใหม่จากบาป หลังจากทนทุกข์ทรมานเป็นอย่างมากในฝ่ายจิตวิญญาณมา [มานาน] และการอธิษฐานของพวกเขาเพราะต้องการหลบภัยในพระคริสต์ ... ทั้งชายและหญิงและคนหนุ่มสาวต่างมีชีวิตอยู่อย่างคนที่ไร้พระเจ้า จึงนำมาซึ่งความทุกข์ในฝ่ายจิตวิญญาณ [แล้ว] นั่นคือการเริ่มต้นที่พระเจ้าทรงเข้าเยี่ยมเยียนพวกเขา และให้อภัยบาปโดยผ่านทางพระเยซูคริสต์ (Paul G. Cook, Fire From Heaven, EP Books, 2009, p. 79)

คุณเคยถูก "ทำให้สำนึกว่าเป็นคนบาปหรือไม่"? คุณเคยอยู่ในสถานการณ์ที่ "วิญญาณมีความทุกข์ทรมานเป็นอย่างมากหรือไม่" แล้วหลังจากนั้นก็ "พบและหลบอยู่ในพระคริสต์หรือไม่"? ศาสนาจารย์ไบรอัน เอช เอ็ดเวิร์ด กล่าวว่า

มันเริ่มต้นด้วยการเชื่อว่าบาปนั้นชั่วและน่ากลัว ... ผู้คนร้องไห้ อย่างที่ไม่รู้ตัว .. แต่นั่นไม่เหมือนกับการร้องไห้ในงานฟื้นฟู ... จะไม่มีการฟื้นฟูหากไม่มีการเข้าใจอย่างลึกซึ้ง และอ่อนน้อมถ่อมตนเชื่อว่ามีบาป ... หนึ่งในพยานที่เห็นด้วยตา [1906 รายงานถึงการฟื้นฟูในประเทศจีน]: "รอบ ๆ ตัวผมเป็นเหมือนสนามรบที่มีจิตวิญญาณร้องไห้ขอความเมตตา" (Brian H. Edwards, Revival: A People Saturated With God, Evangelical Press, 1991 edition, pp. 115, 116)

พวกคุณบางคนอาจพยายามที่จะ "เรียนรู้" ถึงหนทางการรับความรอด ความรอดไม่อาจรับมาได้ผ่านทางการเรียนรู้! แต่เป็นประสบการณ์ส่วนตัวและความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับคุณถึงจะรู้ได้ ตอนนี้คุณรู้แล้ว คุณต้องรู้สึกถึงความรอดนั้นด้วยตัวคุณเอง และความรู้สึกแรกที่คุณต้องมีคือความเชื่อมั่นลึก ๆ ว่าคุณเป็นคนบาป คุณจะต้องถูกทำให้ร้องไห้ออกมา

“โอ ข้าพเจ้าเป็นคนเข็ญใจจริง ใครจะช่วยข้าพเจ้าให้พ้นจากร่างกายแห่งความตายนี้ได้?” (โรม 7:24)

ดร. ลอยด์ โจนส์บอกว่านี่คือเสียงร้องไห้ของคนบาปที่สำนึก - และผมเองก็เห็นด้วยกับท่าน ผมได้เห็นกับตาตัวเองเมื่อพระเจ้าส่งพระวิญญาณของพระองค์ลงมาในงานฟื้นฟู

ในงานฟื้นฟูที่คริสตจักรจีนที่หนึ่งแบ๊บติส ในช่วงปลายทศวรรษที่ 1960 ดร. ทิโมธี หลิน บอกเราให้ร้องเพลงนี้ซ้ำ ๆ

"พระเจ้า โปรดค้นหาข้าฯและทรงรู้ใจของข้าฯ
ลองใช้ข้าฯและรู้ความคิดของข้าฯ
และทรงรู้ใจของข้าพระองค์
ลองใช้ข้าฯและรู้ความคิดของข้าฯ
และดูว่ามีความชั่วใด ๆ ยังอยู่ในตัวข้าฯ
และนำข้าฯไปสู่ทางแห่งนิรันดร์"
   (สดุดี 139:23, 24, expanded)

โปรดยืนขึ้นและร้องเพลงนี้ อยู่ในบทที่ 8 ในหนังสือเพลงของคุณ เฉพาะเมื่อคุณเชื่ออย่างลึกว่ามีบาป เวลานั้นจิตใจและหัวใจของคุณจะได้รับการชำระให้สะอาดโดยโลหิตของพระคริสต์ และรู้สึกว่าพระคริสต์มีค่าให้คุณมาก! ดร. ชาน กรุณานำเราอธิษฐาน อาเมน

(จบการเทศนา)
คุณสามารถอ่านบทเทศนาของ ดร. ฮิวเมอร์ ได้ในแต่ละอาทิตย์ทางอินเตอร์เนทได้ที่
www.realconversion.com. (กดที่นี่) “บทเทศนาในภาษาไทย”

คุณสามารถส่งอีเมล์ถึง ดร. ไฮเมอร์ส ที่ rlhymersjr@sbcglobal.net
– หรือเขียนจดหมายส่งไปให้เขาที่ P.O. Box 15308, Los Angeles, CA 90015.
หรือโทรศัพท์ถึงเขาที (818) 352-0452.

หมายเหตุ: ต้นฉบับของบทเทศนาเหล่านี้ไม่ได้สงวนลิขสิทธิ์
คุณสามารถนำไปใช้โดยที่ไม่ต้องขออนุญาตจาก ดร. ไฮเมอร์ส
แต่อย่างไรก็ตามข้อความทั้งหมดของ ดร. ไฮเมอร์ส
ที่อยู่ในรูปวิดีโอนั้นมีการสงวนลิขสิทธิ์และต้องได้รับการอนุญาตเท่านั้นถึงจะสามารถนำมาใช้ได้

อ่านพระคัมภีร์ก่อนเทศนาโดย นาย อาเบล พรูมโหมมี: โฮเชยา 5:6-15.
ร้องเพลงเดี่ยวพิเศษโดย มร. เบนจามิน คินเคด กริฟฟิท์:
“O For a Closer Walk With God” (by William Cowper, 1731-1800).